งานใหญ่ “วิชา” เสนอล้างโครงสร้างอัยการและตำรวจใหม่ในคดีบอสกระทิงแดง “ไร้มาตรฐาน”

นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นักวิชาการอิสระ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี บอส อยู่วิทยา หรือ นายวรวุฒิ อยู่วิทยา (เครื่องดื่มกระทิงแดง) กรณีที่ขับรถยนต์เฟอร์รารีด้วยความเร็วสูง 177 ก.ม./ช.ม.ชนท้ายรถจักรยานยนต์ของดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่ ส.น.ทองหล่อและลากรถและร่างไปกว่า 200 เมตร เวลาประมาณกว่า 05.30 น. ของวันที่ 3 กรกฎาคม 2555 ตร.เตรียมเสนอถอนหมายจับในทุกคดี ปิดฉากการหนีคดีกว่า 8 ปี ซึ่งเป็นวิพากษ์อย่างกว้างขวาง และอาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่โดยการแก้ไขยกร่างรัฐธรรมนูญและการแก้ไขกฎหมายใหม่ทั้งหมด
นายสมเกียรติกล่าวว่า ตนค่อนข้างจะเชื่อถือกรรมการชุด นายวิชา มหาคุณ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิตม อดีตกรรมการ ป.ป.ช.และคณะกรรมการชุดนี้มีคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสามแห่งคือจุฬาฯ ธรรมศาสตร์และรามคำแหง ดังนั้นจึงเรียกร้องให้คณะกรรมการฯชุดนี้ กระทำความจริงให้กระจ่างชัด และเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงกฎหมาย และเสนอรายงานเบื้องต้นให้นายกรัฐมนตรีรับทราบทุก10 วัน ดังนั้นเราในฐานะประชาชนไทยและการประชุมร่วมกับกับอดีตเลขาธิการสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน(สกยอ.) แล้วสรุปใจความสำคัญว่า
1. ให้เรียกเอกสารของคณะกรรมาธิการกระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สนช. พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ ประธานมาตรวจสอบความพิรุธในคดีนี้ ใครเป็นคนเสนอเรื่องเข้าสู่คณะกรรมาธิการฯ แล้วคณะกรรมาธิการนี้ยังเชิญรองอัยการสูงสุด พนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบสภาพรถยนต์รถจักรยานยนต์ พยานอีก2ปาก และพยานแวดล้อมอีก2ปาก จากนั้นได้ส่งเอกสารรายงานที่เกี่ยวข้องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปยังหน่วยงานใด ข้อความในหนังสือที่ส่งมีใจความว่าอย่างไร ประเด็นสำคัญคือให้ตรวจสอบว่านายสมัคร เชาวภานันท์  ทนายความเครื่องดื่มกระทิงแดงและเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการชุดนี้หรือไม่ ทำไมพยานปากสำคัญที่คำนวณความเร็วอีกลดลงเกินกว่าครึ่งหนึ่งคือ 177 ลดลงเหลือ 79.23 ก.ม./ช.ม. โดยเฉพาะคำให้การของพล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร โดยอ้างว่าเห็นเหตุการณ์เมื่อตนเองนั่งรถยนต์ปิกอัพร่วมกับนายจารุชาติ มาศทอง พยานอีกคนไปทำบุญตอนเช้าตรู่ของวันที่ 3 กันยายน 2555 เมื่อเหตุการณ์ผ่านมา7ปีจะสามารถดำเนินคดีใดๆ ของคนที่สมรู้ร่วมคิดหรือกระทำการโดยไม่สุจริตหรือไม่?
2. จากการไขความในข่าวออนไลน์ระบุว่า กองพิสูจน์หลักฐาน(พฐ.) โดยนายตำรวจ พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ (ปัจจุบันเป็น ส.ส.พรรคก้าวไกล) ผู้คำนวณร่วมกับคณะกรรมการในนามหน่วยราชการ พฐ. ระบุความเร็วรถยนต์เป็น 177 ก.ม./ช.ม.ทำงานร่วมกับ ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ภาควิชาฟิสิกส์ จุฬาฯ แต่อยู่ๆ อีก7ปี ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ที่ พ.ต.ต.ชวลิตฯ ระบุว่าคำนวณผิดอย่างน้อยสามอย่างคือ นิยามอัตราความเร็ว ระยะทาง และเวลาก็ผิด จึงเป็นผลให้คำนวณออกมาค่าต่ำกว่าความเร็ว 80 ก.ม./ช.ม. และเป็นการคำนวณโดยส่วนตัวไม่ใช่หน่วยงาน พฐ.
และที่สำคัญจะได้พิสูจน์กันเสียทีว่า ชนท้ายจักรยานยนต์ หรือขับขี่รถตัดหน้า ยังส่งให้ดาบตำรวจตกเป็นผู้ต้องหา/จำเลย ไปกับบอส อยู่วิทยาด้วย ทั้งๆที่ดาบตำรวจตายไปแล้วหลายปีจึงตั้งข้อหาประเด็นนี้ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน แล้วมีการกระทำที่ผิดกฎหมายหรือไม่
3. เรื่องผิดธรรมชาติ และผิดในข้อเท็จจริงกล่าวคือ ผู้คนจำนวนมากเห็นว่าถ้าขับรถมาด้วยความเร็วต่ำ 79.23 การชนไม่น่าจะเสียชีวิตทันทีและไม่สามารถลากศพออกไปได้ถึง200เมตร และคำชี้แจงของตำรวจต่อคณะกรรมาธิการตำรวจสภาผู้แทนราษฎร ทางพนักงานสอบสวนอ้างว่าได้ทำหนังสือถึงมหาวิทยาลัยและทันตแพทย์แล้ว จากตรวจพบสารโคเคนในร่างกายนั้นเป็นสารตกค้าง จึงไม่อยู่ในสำนวนของพนักงานสอบสวนในคดี และเรื่องนี้ยังไม่มีหลักฐานหนังสือมาแสดงและยังไม่ใช่วิทยาศาสตร์มาพิสูจน์และการที่อัยการเชื่อการคำนวณเมื่อ7 ปีผ่านมาจาก ดร.สายประสิทธิ์ฯ ว่าความเร็วนั้นไม่ถึงกฎหมายกำหนดว่าขับรถโดยประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จากพยาน 2 คนใหม่เป็นเหตุสุดวิสัย ถอนขับรถโดยประมาทออกไป ประเด็นที่สงสัยมากท่านรองอัยการสูงสุด นายเนตร นาคสุข คนที่สั่งไม่ฟ้อง และพล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ผู้ที่บอกว่า เป็นไปตามขั้นตอนปกติ ไม่มีอำนาจเห็นแย้ง ถึงแม้สงสัยก็ตาม แม้ทั้งสองคนสององค์กรนี้ไม่มาชี้แจง คณะกรรมการชุดนายวิชา มหาคุณ และคณะกรรมาธิการอีก3 คณะคือ คณะกรรมาธิการตำรวจ (นายนิโรธ สุนทรเลขา ประธาน) คณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน(นายจิระ เจนจาคะ ประธาน) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ(พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน) เชื่อว่าจะต้องจัดการเชิญมาให้ได้ รวมทั้งเชิญนายพินันท์ ลักษณะศิริ อัยการที่ตรวจหนังสือร้องขอความเป็นธรรมแล้วตอบไปว่า “ไม่ใช่หลักฐานพยานใหม่อันสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งและคำสั่งเดิมได้”(หนังสืออัยการสูงสุด 29ตุลาคม 2562) ต่อมาอัยการเชื่อถือพยานใหม่ทั้ง2 นาย จึงสั่งไม่ฟ้องและคนไทยเสนอรับรู้ข่าวจาก CNN หลังวันที่ 12 มิถุนายน 2563 คือรับรู้ในปลายเดือนกรกฎาคม2563นี้
“เป็นเรื่องของอำนาจฝ่ายอธรรมที่ทำลายสังคมไทยมาอย่างยาวนานแล้ว คำสั่งไม่ฟ้องแล้วคนที่มีอำนาจก็พ่ายแพ้เป็นผีโม่แป้งกันทุกครั้งไป ครั้งนี้คดีของบอสอยู่วิทยาประเด็นพิเศษอยู่ที่เป็นข่าวในต่างประเทศโดยทีวีและสื่อออนไลน์ยักษ์ใหญ่ผมค่อนข้างจะเห็นว่า พิรุธหนักที่สุดคือคณะกรรมาธิการกระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ระบุในหนังสือไปถึงอัยการสูงสุดว่า มีพยานหลักฐานใหม่ นายวรยุทธฯไม่มีความผิด ส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดทบทวนคำสั่งฟ้องนายวรยุทธฯ และขอให้สอบพยานสำคัญอีก2ปากใหม่ แม้จะมีอัยการบางท่านเห็นว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่สามารถต้านทานได้ นี่อาจเป็นเรื่องของบางคนในอัยการสูงสุดกับพนักงานสอบสวน อาศัยทนายความที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการฯ สรุปรวมความแล้ว ผมเชื่อโดยสุจริตใจว่าคณะกรรมาธิการชุดนี้เป็นจุดพลิกผันให้สังคมไทยที่ทนไม่ไหวออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องการปฏิรูปองค์กรทั้งสองอย่างจริงจัง” อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกล่าวในที่สุด
ทางด้วยนายบำรุง คะโยธา อดีตเลขาธิการสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน(สกยอ.) และกรรมการองค์กรชาวนาโลกกล่าวสรุปว่า ผมมีประสบการณ์คลุกคลีกับคนจนไม่มีทรัพย์สินมาค่อนชีวิต
จะเห็นชัดแจ้งเป็นประจำว่ามีการปฏิบัติระหว่างคนจนกับคนรวยมาช้านานแล้วการที่ชาวบ้านมีคดีจะถูกดำเนินการในทุกมาตราและรวดเร็ว เช่นตัวอย่างดีที่สุดชาวบ้านไปเก็บเห็ดในป่าอุทยานฯ แต่คดีของคนรวย มักจะมีผู้มีอำนาจจะทำให้เรื่องยืดเยื่อแล้วปล่อยให้เรื่องเงียบไปเอง กรณีเจ้าพ่อเครื่องดื่มกระทิงแดงนี่อัปยศมากเราจะไม่รับรู้กันเลย จะรู้อีกทีก็ภายหลังจากผู้สื่อข่าวต่างประเทศออกข่าวให้คนทั้งโลกรับรู้เรื่องอัปยศของสังคมในระบบยุติธรรมของไทย  “ผมว่าภาคประชาชนน่าจะได้ปรึกษาหารือกันแล้ว พร้อมใจกันออกมาดำเนินการได้แล้ว” อดีตเลขาธิการ สกยอ.กล่าว.
31 กรกฎาคม 2563
นครราชสีมา เวลา 13.00 น.
แสดงความคิดเห็น