เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 10 มกราคม 2566 ขณะที่ ร.ต.อ.วรวิทย์ ซุยลา รอง สว.สอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี ปฏิบัติหน้าที่อยู่บนโรงพัก รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191 ภ.จ.อุดรธานี ว่าพบศพคนผูกคอเสียชีวิตมาหลายวัน อยู่ใต้ต้นก้ามปูบริเวณป่าละเมาะริมถนนท้ายชุมชนบ้านโนนทัน ม.15 ต.หมากแข้ง เขตเทศบาลนครอุดรธานี จึงออกไปตรวจสอบพร้อมด้วยแพทย์เวร รพ.ศูนย์อุดรธานี อาสากู้ภัยมูลนิธิส่งเสริมธรรมแห่งอุดรธานี
ที่เกิดเหตุพบชาวบ้านและญาติผู้ตายที่ช่วยกันออกตามหา หลังหายออกจากบ้านไป 3 วัน ก่อนมาพบเป็นศพผูกคอตายคือนายสมปอง เขาไตร อายุ 47 ปี บ้านเลขที่ 91 ม.15 บ.ดงทรายทอง ต.หนองไฮ อ.เมืองอุดรธานี ใช้เชือกไนล่อนสีเขียวผูกคอตัวเองโยงกับกิ่งไม้ต้นก้ามปู อยู่ในลักษณะนั่งพักเพียบ สวมเสื้อยืดคอโปแขนสั้นสีกรมท่า กางเกงขายาวสีเขียวลายพราง รองเท้าแตะสีดำ ตรวจสอบตามร่างกายและรอบบริเวณไม่พบร่องรอยการต่อสู้และถูกทำร้าย เสียชีวิตจากขาดอากาศหายใจด้วยการผูกคอตัวเองมา 3 วัน ญาติไม่ติดใจในสาเหตุ จึงมอบศพให้นำไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป
สอบสวนนายธรรม อาทร อายุ 54 ปี ชาวบ้านหนองใหญ่ ม.8 ต.หมากแข้ง ให้การว่า ก่อนพบศพผู้ตายเช้าวันนี้ลูกสาวผู้ตายมาบอกว่าผู้ตายชื่อเล่นว่าโอ หายออกจากบ้านไป 3 วัน คิดว่าจะมาพักอยู่ที่กระท่อมนากับตนที่อยู่ไม่ห่างจากจุดเกิดเหตุ แต่ตนเพิ่งกลับมาจากบ้านเกิดที่ จ.สระแก้ว เมื่อทราบข่าวจึงช่วยกันเดินออกตามหาอยู่นานหลายชั่วโมง ทีแรกตนคิดว่าคงกลับบ้านเกิดที่ ต.หนองไฮ องเมืองอุดรธานี เพราะเวลาทะเลาะกับภรรยาผู้ตายบอกว่าจะกลับไปอยู่บ้าน จึงติดต่อสอบถามไปทราบว่าผู้ตายไม่ได้กลับบ้าน ตนจึงออกตามหาบ้านเพื่อนๆที่ผู้ตายเคยไปหาแต่ก็ไม่พบ จึงขี่รถจักรยานยนต์พ่วงข้างกลับกระท่อมนา และพูดออกมาด้วยความเป็นห่วงผู้ตายว่า
”หากเสียชีวิตไปแล้วก็ทำให้พี่เห็นหน่อย พอมองไปที่ต้นก้ามปูก็พบศพผู้ตายผูกคอเสียชีวิต ทำให้ตนและภรรยาขนหัวลุกซู่เลย และคืนวานที่ผ่านมา ตนและภรรยาก็มาหาหวิดน้ำหาปลาอยู่ในสระน้ำที่อยู่ใกล้กัน และนอนค้างคืนด้วย ก็ไม่เห็นวิญญาณผู้ตายมาบอกหรือมาทำให้รู้ว่าผูกคอตายอยู่ใต้ต้นไม้ และไม่มีลางบอกเหตุล่วงหน้าอะไรเลย และเคยพูดตักเตือนผู้ตายในฐานะน้องรักว่า ให้เลิกเสพยาบ้าผสมกับเหล้าขาว เพราะมันไม่ดี และมันทำลายประสาทและสมอง และหลอนจนฆ่าลูกเมียตามที่เห็นในข่าว ผู้ตายก็รับปาก แต่ไม่รู้ว่าทำตามที่ตนบอกหรือไม่ กระทั่งมาผูกคอตัวเองตาย และได้จุดธูปบอกผู้ตายให้ไปอยู่บ้านใหม่ ตรงไหนมันทุกข์มันยากมากก็ให้ละทิ้งมันไป และให้ไปอยู่ในที่ตนเองสบายใจก็แล้วกัน”
นางสาวสราลี เขาไตร อายุ 46 ปี ภรรยาผู้ตายให้การว่า อยู่กินกับผู้ตายมาเกือบ 30 ปี มีลูกชายหญิงด้วยกัน 2 คน เมื่อก่อนผู้ตายเป็นคนดี ขยันทำงานรับจ้างทั่วไปจุนเจือครอบครัว แต่เป็นคนขี้น้อยใจ ส่วนตนทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ในบริษัทมีชื่อแห่งหนึ่งในตัวเมืองอุดรธานี ระยะหลังเมื่อ 2 ปี ที่ผ่านมา ผู้ตายมาติดเหล้าหนัก และติดเสพยาบ้าจนมีอาการหลอน และเกิดความหวาดระแวงลูกเมีย ชอบหาเรื่องทะเลาะมีปากเสียงกับตนและลุกสาวคนโตเป็นประจำ
”ครั้งล่าสุดทะเลาะกับตนเอง และกล่าวหาว่าตนมีชู้หรือปันใจให้ชายอื่น ทั้งที่ไม่เป็นความจริง ก่อนผู้ตายจะเดินหายออกจากบ้านเวลาประมาณ 20.00 น. วันที่ 7 มกราคม ที่ผ่านมา และมาพบผูกคอเสียชีวิต และไม่มีลางบอกเหตุร้ายแต่อย่างใด เพราะทุกครั้งหากสามีหายไปก็จะกลับมาเอง หลังไปสงบสติอารมณ์อยู่ที่บ้านเพื่อนรุ่นพี่ สาเหตุคาดว่าน่าจะมาจากอาการเสพยาบ้าและดื่มเหล้าขาวมานานหลายปี จนทำให้สติไม่ดีจนหลอนและคิดไปเองจนทำให้คิดสั้น ที่ผ่านมาตนพยายามอธิบายเหตุผล แต่สามีก็ไม่ยอมฟังเลย”
น.ส.หฤทัย เขาไตร อายุ 26 ปี ลูกสาวคนโตผู้ตาย เล่าว่า พ่อหายออกจากบ้านตั้งแต่คืนวันเสาร์ที่ 7 มกราคม ที่ผ่านมา หลังจากทะเลาะกับแม่และคนในบ้าน ซึ่งเป็นเรื่องปกติเวลาพ่อเมา เนื่องจากพ่อติดยาเสพติด (ยาบ้า) และดื่มเหล้าขาวผสมกันมาหลายปีแล้ว ตนเคยนำไปบำบัดออกมาก็เหมือนเดิม พ่อทำงานรับจ้างทั่วไป แต่ก่อนพ่อทำงานเป็นประจำรับจ้างทุกอย่างที่ได้เงิน แต่ช่วงเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา พ่อทำงานไม่ได้เพราะติดสุราและเสพยาอย่างหนัก เมื่อมีอาการเมาก็เกิดอาการน้อยใจ พ่อจะบอกตนว่า สักวันจะไม่ได้อยู่กับพวกตน แต่พ่อก็พูดนานแล้ว ครั้งนี้มีปากเสียงกันก็ไม่ได้รุนแรง เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา และเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่คิดว่าพ่อจะคิดสั้นจบชีวิตตัวเองแบบนี้ โดยคาดว่าพ่อจะอาการประสาทหลอนจากการเสพยาบ้ามาเป็นเวลานาน
”พ่อหายออกมาหลายวัน ซึ่งปกติก็จะมาอยู่กับเพื่อน แต่ตนไม่เห็นพ่อกลับมากินข้าว เพราะทุกครั้งจะกลับไปบ้านกินข้าวช่วงเย็นๆ ไม่คิดว่าพ่อจะมาทำแบบนี้ ซึ่งคนที่มาเห็นก็เป็นเพื่อนของพ่อ ซึ่งมีที่นาอยู่แถวนี้ ซึ่งเพื่อนพ่อก็ออกตามหาช่วยกัน เนื่องจากพ่อหายไปหลายวัน แล้วก็มาพบว่าพ่อผูกคอเสียชีวิตในป่าละเมาะข้างทางแห่งนี้”
น.ส.หฤทัย เขาไตร ลูกสาวผู้ตาย เล่าต่อว่า ช่วงกลางปีที่ผ่านมา พ่อเคยถือเชือกออกมาแบบนี้ พวกตนก็ออกตามหาแต่ก็ไปพบนั่งเล่นอยู่กับเพื่อน ครั้งก่อนเป็นเชือกเส้นใหญ่ มาครั้งนี้เป็นเชือกราวตากผ้าหลังบ้านตน ช่วงพ่อเดินออกมา ตนไม่เห็นเพราะช่วงคืนวันเสาร์ตนนอนป่วยเป็นไข้อยู่ในห้อง ได้ยินแต่เสียงพ่อกับแม่ทะเลาะกัน ซึ่งตนก็ไม่ได้ขึ้นไปดู เพราะกลัวว่าจะทะเลาะกันยาว
”ก่อนหน้าพ่อจะหายตัวออกจากบ้าน ประมาณ 1 สัปดาห์ พ่อมานั่งตาขวางอยู่ที่หน้าบ้านของตน ทั้งที่พ่อไม่เคยมีท่าทีแบบนี้กับตน พร้อมกับพูดว่า ไปไหนมาไม่มาดูลูก เพราะพ่อไม่เคยมายุ่งเรื่องการทำงานของตน มาครั้งนี้พ่อพูดเหมือนเป็นห่วงตน ตนมีพี่น้อง 2 คน ห่างกัน 18 ปี และน้องชายก็ไปโรงเรียน แต่วันนั้นน้องก็ไม่อยากไปโรงเรียน ซึ่งพ่อเป็นห่วงพวกตน และพูดเหมือนว่ามีความเป็นห่วงลูกๆ ซึ่งพ่อไม่เคยพูดแบบนี้มาก่อนกับพวกตนเลย และตนเชื่อว่าเป็นคำสั่งเสียลูกเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พูดคุยกันดีๆ”
นางสาวลำพอง ไชยคำ อายุ 41 ปี น้องสาวผู้ตาย เล่าว่า วันที่ 2 ตุลาคม 2565 ตนได้พูดคุยกับพี่ชายเป็นครั้งสุดท้าย เพราะเป็นงานศพของพ่อ และผู้ตายได้จุดธูปบอกพ่อหน้าโลงศพว่า ให้พ่อไปก่อนเดี๋ยวผมจะตามไป และหากตายไปเวลาทำบุญหา ให้ญาติพี่น้องจ้างหมอลำซิ่งมาแสดงให้ดูด้วย เพราะพี่ชายเป็นคนมักม่วน หรือชอบสนุกสนาน ซึ่งในขณะนั้นคิดว่าพี่ชายพูดเล่น และก็เป็นความจริงในวันนี้ ที่ผ่านมาทราบข่าวว่าพี่ชายเวลาเมาเหล้าชอบหาเรื่องคนในครอบครัว และมีนิสัยเป็นคนขี้น้อยใจ คิดว่าคนั้นคนนี้ไม่รักตนเอง หนักเข้าคิดไปเองว่าเมียมีชู้ แต่ความเป็นจริงแล้วพี่สะใภ้ไม่มีเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย และเป็นคนรักครอบครัวมากด้วย ส่วนเรื่องพี่ชายติดเสพยาบ้าจนหลอนนั้นตนไม่รู้เพราะอยู่คนละที่
ก่อนเกิดเหตุมีลางบอกเหตุล่วงหน้าคือ มีฝูงอีกาบินมาเกาะหลังคาบ้าน และบินวนเวียนส่งเสียงร้องอยู่นาน ตนจึงแก้เคล็ดด้วยการไล่หนีให้ไปร้องอยู่ไกลๆ อย่ามาร้องอยู่แถวนี้ คนตายก็ตายไปแล้วยังมาร้องอยู่ได้ เนื่องจากมีคนสูงวัยป่วยตายอยู่แถวบ้าน แต่สุดท้ายกรแก้เคล็ดก็ไม่เป็นผล กระทั่งสายวันนี้หลานสาวได้โทรไปบอกว่าพบศพผู้ตายคือพี่ชายของตนผูกคอตัวเองเสียชีวิตแล้ว”…