อีสานเจอวิกฤติ น้ำอุปโภคบริโภคขาดแคลนหนัก ด้าน ชลประทานที่ 6 เร่งวางมาตรการช่วยเหลือ รวมทั้งบริหารการกักเก็บน้ำ เพื่อให้มีน้ำกินน้ำใช้จนถึงฤดูแล้งปีหน้า
วันที่ 20 ส.ค.2562 ที่ห้องประชุมสำนักงานชลประทานที่ 6 จ.ขอนแก่น นายศักดิ์ศิริ อยู่สุข ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 6 ประชุมร่วมการประปาส่วนภูมิภาคและภาคธุรกิจเอกชนและภาคอุตสาหกรรม ในพื้นที่ 5 จังหวัดภาคอีสานตอนกลาง เพื่อรับทราบสถานการณ์น้ำและวางมาตรการแก้ไขปัญหาร่วมกัน เพื่อให้มีน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ไปจนถึงช่วงฤดูแล้งปี 2563 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งภาคธุรกิจเอกชนและภาคอุตสาหกรรมเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง
นายศักดิ์ศิริ อยู่สุข ผู้อำนวยการสำนักชลประทานที่ 6 กล่าวว่า ในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค.ที่ผ่านมา ภาคอีสานมีปริมาณฝนตกลงมาน้อยกว่าค่าปกติถึง 30-40 % ส่งผลให้มีน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลางและแหล่งน้ำธรรมชาติไม่มากนัก ทำให้น้ำในอ่างเก็บน้ำมีปริมาณกักเก็บต่ำกว่า 30% ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอสำหรับใช้ในฤดูแล้งปี 62/63 ดังนั้นในวันนี้ ชลประทานที่ 6 จึงได้เชิญการประปาส่วนภูมิภาคและภาคอุตสาหกรรม เป็นผู้ขอใช้น้ำจากชลประทานตามมาตรา 5 และมาตรา 8 ในเขตความรับผิดชอบทั้ง 5 จังหวัดในภาคอีสานกลาง รวม 88 แห่ง มาหารือเพื่อรับทราบสถานการณ์น้ำและวางมาตรการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
“จากการรายงาน พบว่า อ่างเก็บน้ำขนาดกลางทั้ง 69 แห่ง ในภาพรวมของสำนักชลประทานที่ 6 มีน้ำดิบเพียงพอที่จะผลิตน้ำประปาได้ตลอดฤดูแล้งปี 62/63 แต่มีเพียง 7 อ่างที่มีปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวัง โดยอยู่ในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ 1 แห่ง จังหวัดมหาสารคาม 2 แห่ง จังหวัดกาฬสินธุ์ 3 แห่ง และจังหวัดร้อยเอ็ด 1 แห่ง ทั้งนี้ สำนักงานชลประทานที่ 6 ได้วางมาตรการในการให้ความช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาโดยการเติมน้ำเข้าอ่างฯ จากแหล่งน้ำใกล้เคียง การบูรณาการกับส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค รวมถึงการประปาส่วนภูมิภาคก็มีแผนในการเจาะบ่อบาดาลช่วยเหลือน้ำอุปโภคบริโภคในพื้นที่ที่ไม่มีแหล่งน้ำต้นทุนด้วย” ผอ.สำนักชลประทานที่ 6 กล่าว
นายศักดิ์ศิริ กล่าวต่ออีกว่า ขณะนี้ สถานการณ์น้ำของภาคอีสานกลาง มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ จำนวน 3 แห่ง มีปริมาณน้ำเก็บกักรวมกันประมาณ 990 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นน้ำใช้การได้ประมาณ 260 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 7 ของความจุรวม ส่วนอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง 69 แห่ง มีปริมาณน้ำเก็บกักประมาณ 87 ล้าน ลบ.ม. เป็นน้ำใช้การได้ประมาณ 48 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 12 ของความจุรวม และอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก จำนวน 1,006 แห่ง มีปริมาณน้ำเก็บกักประมาณ 85 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 28 ของความจุรวม มีแผนการเพาะปลูกประมาณ 2.3 ล้านไร่ ปัจจุบันทำการเพาะปลูกไปแล้วประมาณ 2.2 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 96 ของแผนฯ จากการคาดการณ์ฝนของกรมอุตุนิยมวิทยา ในเดือนกันยายน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีปริมาณฝนรวมใกล้เคียงค่าปกติประมาณ 220-300 มม. ซึ่งหากฝนตกตามคาดการณ์ จะส่งผลให้มีน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเพิ่มมากขึ้น น้ำที่มีอยู่ในอ่างฯ ขณะนี้จึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง เพื่อสำรองไว้สำหรับการอุปโภคบริโภคเท่านั้น
“ในช่วงที่ผ่านมา สำนักงานชลประทานที่ 6 ได้ให้ความช่วยเหลือและเร่งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ เนื่องจากภาวะฝนทิ้งช่วงมาโดยตลอด เช่น การระบายน้ำจากเขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์ เขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น เพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนมหาสารคามและเขื่อนร้อยเอ็ดเติมลงในแม่น้ำชี เพื่อให้สถานีสูบน้ำเพื่อการประปาที่อยู่ตลอดสองฝั่งลำน้ำชีไปจนถึง จ.อุบลราชธานี นำน้ำไปใช้เพื่อการอุปโภค-บริโภค และที่สำคัญยังได้นำเครื่องจักรเข้าไปขุดลอกเปิดทางน้ำ ส่งเครื่องสูบน้ำเข้าไปช่วยเหลือ พร้อมลงพื้นที่ชี้แจงสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน ส่งผลให้ในปัจจุบันสถานการณ์น้ำในแม่น้ำชีดีขึ้น จึงได้ปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนลำปาวลงตามปริมาณน้ำต้นทุนที่มี และหากเขื่อนลำปาวมีปริมาณน้ำคงเหลือ 400 ล้าน ลบ.ม. จะหยุดส่งน้ำเพื่อการเกษตร เพื่อสำรองน้ำไว้สำหรับการอุปโภค-บริโภค ซึ่งมีความสำคัญมากที่สุด แต่ทั้งนี้ก็ได้นำเครื่องสูบน้ำจำนวน 22 เครื่องเข้าไปติดตั้งในจุดที่คาดว่าจะเกิดความเสี่ยงขาดแคลนน้ำจากการหยุดส่งน้ำของเขื่อนลำปาว เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับพี่น้องเกษตรกรที่รับน้ำจากเขื่อนลำปาว” ผอ.สำนักชลประทานที่ 6 กล่าว
นายศักดิ์ศิริ กล่าวด้วยว่า ยังคงขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้ตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรน้ำ ใช้น้ำอย่างประหยัด และติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีน้ำเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคไปจนถึงฤดูแล้งหน้า ทั้งนี้ หากต้องการความช่วยเหลือ สามารถร้องขอไปที่โครงการชลประทานใกล้บ้าน กรมชลประทานพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที.