ประชุมใหญ่สมัยสามัญประจำปี 2563 เรียบร้อยเมื่อ13ก.พ.63 ที่ผ่านมาสำหรับสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น ท่ามกลางข้อกังขาจากสายตาของมวลสมาชิกกว่า 2 หมื่นคน และสังคมที่จับตามองว่า ปัญหาการทุจริตโกงเงินกว่า 400 ล้านบาทจะได้รับการแก้ไขเยียวยาและได้รับความกระจ่างจากมวลสมาชิกได้บ้างนอกเหนือจากการปันผล6% และเงินโบนัสของคณะกรรมการมากกว่า 20 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับต่างพาดหัวข่าวเอาไว้หลากหลาย ซึ่งฉบับหนึ่งได้ตั้งประเด็นการจับเท็จจากการประชุมคราวนี้เอาไว้น่าสนใจหลายประเด็น (หนังสือพิมพ์แนวหน้า คอลัมน์บุคคลแนวหน้า ไม้หน้าสาม วันพุธที่ 19 ก.พ. 2563) ประเด็นน่าสนใจ อาทิ
1.การขอให้ลดโบนัส สำหรับผู้บริหารจาก20ล้านบาทเหลือ 6 ล้านบาท และลดดอกเบี้ยเงินกู้ตลอดจนการชี้แจงกรณีดำเนินคดี “เอกราช ช่างเหลา” อดีตผจก.สหกรณ์ที่ถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินสหกรณ์ไปกว่า 400 ล้านบาทโดยตอบไม่เคลียร์โดยอ้างว่านายเอกราชติดต่อขอชำระเงินคืนให้ครบจำนวนโดยนำหลักทรัพย์ที่ดินมูลค่า100ล้านบาทมาวางเป็นหลักประกันเอง
2.มีการสรรหากรรมการสหกรณ์ที่ขาดคุณสมบัติถูกฟ้องคดีอาญาข้อหาใส่เครื่องราชฯโดยไม่มีสิทธิ ซึ่งสมาชิกคัดค้านแต่ไม่เป็นผล
3.การดำเนินการที่ไม่มีกฎหมายรองรับโดยเฉพาะการเจรจาให้นายเอกราช ชำระหนี้ซึ่งไม่น่าจะเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเงินจำนวน400 กว่าล้านบาท ถูกยักยอกเข้าบัญชีนายเอกราช เมื่อถูกจับได้ไล่ทันจะยอมความนำเงินผ่อนชำระคืนแต่ความเสียหายเกิดขึ้นกับสหกรณ์แล้วเหตุใดประธานสหกรณ์และกรรมการจึงอ้างว่าเรื่องอาญาเป็นหน้าที่ของทีมทนายความทั้งที่บอร์ดเองควรทำเรื่องนี้ให้โปร่งใส
(ในขณะที่ข่าววงในระบุว่า สัญญาจ้างทนายเพียงให้เป็นผู้ติดตามคดีร่วมกับตำรวจที่แจ้งความไว้เท่านั้น แต่ไม่รวมถึงการฟ้องศาลเอาผิดนั้นหากทนายจะยื่นฟ้องฐานความผิดใดกับใครต้องได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการก่อน จนเกิดความกังขาว่า จะมีใครจ้างทนายมาฟ้องศาลเอาผิดกับตัวเองหรือไม่)
ที่สำคัญ “ไม้หน้าสาม” ยังระบุอีกว่า รู้มาว่า ขณะนี้ผู้ตรวจบัญชีสหกรณ์ได้พิจารณามติของกรรมการสหกรณ์ครูขอนแก่นพบว่า ไม่เป็นไปตามคำแนะนำของกรมตรวจสอบบัญชีเกี่ยวกับหนังสือรับสภาพหนี้ของผู้กระทำผิดที่มีเพียง 169 ล้านบาทเศษต่ำกว่าเงินจากบัญชีกว่า 262 ล้านบาท ซึ่งสหกรณ์ได้ตั้งค่าหนี้เผื่อจะสูญไว้30ล้านบาท
ถ้าทำตามคำแนะนำผลการดำเนินงานจะเปลี่ยนกำไรจากเงิน1,200ล้านเหลือเพียง894ล้านบาทเท่านั้น มติของคณะกรรมการจะขัดกับระเบียบอย่างชัดเจนหรือไม่ ซึ่งถ้าขัดกับระเบียบจริงน่าจะเข้าความผิดอาญามาตรา157 เพราะเป็นมติที่เกินกว่าระเบียบสหกรณ์จังหวัดหรือไม่ ซึ่งทราบว่าประเด็นนี้ทางชมรมสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่นกำลังหาทางร้องเรียนต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อหาคำตอบให้กับมวลสมาชิกและสังคมทั่วไปที่กำลังตามล่าความจริงในเรื่องนี้อย่างไม่ลดละ(ส่วนประเด็นที่ดร.อนุศาสตร์ แจ้งว่าหนังสือรับสภาพหนี้เป็นสิทธิส่วนบุคคลไม่สามารถเปิดเผยได้นั้น สมาชิกต่างกังขาว่า ในหนังสือดังกล่าวมีเงื่อนไขในข้อสัญญาแนบท้ายว่าจะไม่เอาผิดทางอาญากับผู้รับสภาพหนี้เพื่อให้คดีความทางอาญาสะดุดหยุดลงหรือไม่ หรือเป็นสิทธิส่วนบุคคลของใคร เป็นเรื่องที่มวลสมาชิกจะต้องติดตาม)
ทั้งหลายที่กล่าวมานั้นเป็นข้อจับเท็จจากการประชุมใหญ่สมัยสามัญสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่นเมื่อ13ก.พ.63ที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องยาวซึ่งต้องดูกันยาวๆครับ มวลสมาชิกและสังคมอย่าใจร้อนแต่อีกไม่นานความจริงก็จะปรากฏว่าใครคือโจรใครคือพระ
โดย:ดร.เพิ่ม หลวงแก้ว เลขาธิการมูลนิธิครูประชาบาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ