87 ปีประชาธิปไตยไทยถอยหลังหรือเดินหน้า

ปิดการโหวตคะแนนในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้านเรียบร้อยในช่วง ระยะเวลาที่เขียนต้นฉบับ ซึ่งก็เป็นไปตามคาดหมายคือฝ่ายรัฐบาลได้คะแนนถล่มทลายผ่านฉลุยทั้ง6คนที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจนับแต่ตัวนายกรัฐมนตรีได้คะแนนไว้วางใจ272เสียงและ รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่าได้ต่ำสุด 269 เสียง ห่างกันไม่มากนัก(พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้สูงสุด277เสียง)ในขณะที่ฝ่ายค้านวอคเอ้าไม่เข้าร่วมสังฆกรรม(ยกเว้นคณะอนาคตใหม่)ที่เหลืออยู่ในสภา แต่ในที่สุดก็ปิดสมัยประชุมเรียบร้อยท่ามกลางความอึมครึมกับความขัดแย้งทางแนวคิดที่กระจายอยู่นอกสภา

ถ้าจะย้อนดู87ปีที่ผ่านมาของประชาธิปไตยไทยนับจากปี2475 เป็นต้น มาจะเห็นการล้มลุกคลุกคลานของระบบรัฐสภาไทยมีทั้งถูกปฎิวัติ รัฐประหาร หรือยุบสภาเอง จนนับครั้งไม่ถ้วนและแม้บางครั้งไม่ถูกปฎิวัติ รัฐประหารหรือไม่มีการยุบสภาก็ตาม แต่เกิดเหตุการณ์ขัดแย้งทางความคิดของคนแต่ละกลุ่มแต่ละฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระบวนการทางความคิดของกลุ่มนิสิต นักศึกษาในสถาบันของมหาวิทยาลัยต่างๆ ลงไปถึงกลุ่มนักเรียนกลุ่มต่างๆทั่วประเทศซึ่งเริ่มออกมาแสดงความคิดเห็นต่างๆเริ่มนับตั้งแต่เหตุการณ์จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้มีการยุบพรรคอนาคตใหม่ มาจนถึงการอภิปรายในสภากรณีความขัดแย้งในสภาจนถึงการอภิปรายนอกสภา

ในรั้วมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังเงียบของนักเรียน นิสิต นักศึกษาที่เงียบมานานก็เริ่มมองให้เห็นถึงการเริ่มรวมกลุ่ม การนัดหมาย ในสื่อโซเชียลอย่างหลากหลาย ท่ามกลางฝ่ายบ้านเมืองต่างๆออกมาแสดงความเห็นเป็นห่วงสถานการณ์จะลุกลามบานปลาย

 ผู้เขียนเองย้อนยุคไปเมื่อกว่า40ปีที่ผ่านมาช่วงที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ในฐานะเป็นทั้งนิสิต และนักศึกษาจนมาถึงปัจจุบันได้มาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้งหนึ่งแต่ในฐานะอาจารย์ผู้สอน เปรียบเทียบสถานการณ์ทางการเมืองไม่ต่างกัน อย่างที่เป็นอยู่ปัจจุบันนั่นคือการย่ำแย่อยู่กับที่ของการเมืองไทย แต่ดีใจขึ้นมาบ้างที่เห็นพลังนักเรียน นิสิตและนักศึกษาได้ออกมาแสดงพลังและแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แม้จะไม่มากหรือไม่รุนแรงเหมือนเมื่อกว่า 40 ปีที่ผ่านมาก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นอะไรเลยมิใช่หรือ เพราะนั่นคือความสวยงามในระบอบประชาธิปไตยที่มีการแสดงออกได้ทั้งคนเห็นด้วยและคนที่เห็นต่างมิใช่หรือ

ฝากผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอย่าเห็นพลังของเด็กๆเหล่านี้เป็นศัตรูของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลย เพราะจะทำให้สถานการณ์ที่ยังไม่รุนแรงเป็นพลังที่เราไม่อยากเห็นให้เกิดขึ้นในสถานการณ์การเมืองที่เลวร้ายไปมากกว่านี้เลยนะครับ

โดย-ดร.เพิ่ม หลวงแก้ว เลขาธิการมูลนิธิครูประชาบาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

แสดงความคิดเห็น