บินขอนแก่นหลังรัฐบาลปลดล็อคเริ่มดีขึ้นมั่นใจ 6 เดือนเหมือนเดิม ย้ำใช้มาตรฐานสาธารณสุขสวมแมสก์เข้าออกร้อยเปอร์เซ็นต์ เผยแผนปรับปรุงอาคารมูลค่า 2,004 ล้านบาท คืบหน้า 54 % ช้ากว่าแผนเดิม เพราะปรับแบบคาดมี.ค.64 ได้ใช้อาคารใหม่และเสร็จสมบูรณ์ปี 65 รวมพื้นที่ 44,500 ตรม. รองรับคน 5 ล้านต่อปี และมีหลุมจอดเครื่องบิน 11 ลำ ใหญ่ที่สุดของภาคอีสาน
ว่าที่ร.ต.อัธยา ลาภมาก ผอ.ท่าอากาศยานขอนแก่น เปิดเผยว่า ขณะนี้สนามบินขอนแก่นได้เปิดให้บริการผู้โดยบินโดยมีผู้โดยสารทยอยเดินทางเพิ่มมากขึ้น หลังจากหายไปสองเดือนโดยภาพรวมผู้โดยสารลดลงไป 50 เปอร์เซ็นต์ การเดินทางขยับขึ้นมาประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์เทียบกับปีที่แล้ว คาดว่าปี 63 ผู้โดยสารจะยังคงมากกว่า 1 ล้านคน โดยจะมีสายการบินเวียตเจ็ตมาเปิดเส้นทางการบินขอนแก่น – สุวรรณภูมิ เพิ่มขึ้นเริ่มบินไฟลท์แรกวันที่ 30 ก.ค.63
ทั้งนี้การการท่าอากาศยานขอนแก่นยังคงดำเนินการตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข โดยผู้โดยสารที่จะเข้าไปในตัวอาคารจะต้องมีการตรวจวัดอุณหภูมิไม่เกิน 37.3 องศา และจะต้องใส่หน้ากากอนามัย 100 เปอร์เซ็นต์ โดยทุกคนจะต้องลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นไทยชนะทั้งขาเข้าและขาออก
“เมื่อขึ้นไปบนเครื่องบินของทุกสายการบินจะมีการเช็คอีกรอบหนึ่งว่ามีแมสก์หรือไม่ โดยตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนาฯได้ขายบัตรโดยสารเต็มจำนวนที่นั่งแล้ว ซึ่งช่วงแรกผู้โดยสารยังไม่มากนักมีที่นั่งประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ของเครื่องแต่คาดว่าการเดินทางจะกลับมาเหมือนเดิมไม่เกิน 6 เดือน”ว่าที่ร.ต.อัธยากล่าว
ว่าที่ร.ต.อัธยา กล่าวถึงความคืบหน้าในการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารสนามบินขอนแก่นงบประมาณ 2,004 ล้านบาท ว่า มีความก้าวหน้าในการก่อสร้าง 54 % จากเดิมกำหนดไว้ 80 % ล่าช้าไปเพราะการส่งมอบพื้นที่ในส่วนของบ้านพักและมีการปรับปรุงแบบก่อสร้างและช่วงโควิดคนงานส่วนหนึ่งได้ถูกกักไว้ทำให้การทำงานล่าช้าไป
ทั้งนี้โครงการปรับปรุงอาคารจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนของอาคารใหม่มีพื้นที่ 28,000 ตรม.และส่วนปรับปรุงอาคารเก่าพื้นที่ 16,500 ตรม.รวมกันแล้วจะมีพื้นที่รวม 44,500 ตรม. นอกจากนี้ยังจะมีอาคารจอดรถขนาด 7 ชั้น และเส้นทางเชื่อมระหว่างอาคารการก่อสร้างบ้านพักพนักงาน อาคารใหม่ที่จะมุงหลังคาภายในเสองเดือนนี้
“เราจะมีสะพานเทียบเครื่องบินหรืองวงช้างเพิ่มขึ้นอีก 2 ตัว จากเดิม 2 ตัว รวมเป็น 4 ตัว และมีอาคารจอดรถที่รองรับได้จำนวน 2,000 คัน เราเร่งให้ผู้รับจ้างเพิ่มปริมาณงานให้มากขึ้น คาดปลายปี 63 อาคารใหม่เสร็จเดือนมีนาฯ64 ย้ายเข้าอาคารใหม่ปรับปรุงอาคารเก่า 1 ปี เสร็จปี 65 กลายเป็นอาคารเดียวกัน”ว่าที่ร.ต.อัธยากล่าว
ผอ.การท่าอากาศยานขอนแก่น กล่าวอีกว่า หากการก่อสร้างแล้วเสร็จ สนามบินขอนแก่นจะถือว่ามีพื้นที่ใช้สอยใหญ่ที่สุดในภาคอีสานแต่ในส่วนของสนามบินกรมท่าอากาศทั่วประเทศ 28 แห่ง เราเป็นรองเพียงสนามบินจ.กระบี่ที่กำลังสร้างคล้ายกันด้วยงบประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยผู้รับเหมารายเดียวกันและในปี 2564 เราจะได้รับงบประมาณปรับปรุงลานจอดจากเดิมสามารถจอดเครื่องบินได้พร้อมกัน 5 ลำ ก็จะขยายเพิ่มเป็น 11 ลำ
“ขณะนี้ขอนแก่นเรามี 25 ไฟลท์ แผนงานปีหน้าเราจะเพิ่มหลุมจอดเครื่องบิน 11 หลุม เครื่องบินจากต่างประเทศสามารถมาจอดค้างคืน ทุกวันนี้สนามบินขอนแก่นสามารถรองรับผู้โดยสารได้1,000 คน/ชั่วโมง แต่ปรับปรุงเสร็จรับได้ 2,000 คน/ชั่วโมง”ว่าที่ร.ต.อัธยากล่าวและว่า
นอกจากนี้ก่อนเกิดเหตุการณ์โควิด 19 ได้มีสายการบินประเทศจีนให้ความสนใจติดต่อมาแต่เมื่อเกิดเหตุการณ์โควิด 19 ก็เงียบไป แต่ก็ถือว่าเป็นสัญญานที่ดีว่ามีต่างชาติสนใจเราได้เตรียมความพร้อมรองรับการขยายตัวของจังหวัดขอนแก่นมาต่อเนื่อง ด้วยความเป็นฮับหรือศูนย์กลางในด้านต่างๆ
“เราได้งบประมาณปรับปรุงอาคารผู้โดยสารจากสองล้านคนเพิ่มเป็นห้าล้านคนต่อปี และถนนทางเข้าสนามบินก็มีการทำทางแยกใต้สะพานเร็วๆนี้สามารถออกจากสนามบินและเลี้ยวขวาไปอำเภอชุมแพได้เลยไม่ต้องไปยูเทริน์หน้า ร.8 ทำให้การเดินทางสะดวกยิ่งขึ้น”ว่าที่ร.ต.อัธยากล่าว
ว่าที่ร.ต.อัธยา กล่าวอีกว่า เรายังได้รับงบประมาณเรื่องรักษาความปลอดภัยต่อเนื่อง ช่วงโควิด 19 เราจะสกีนตั้งแต่เข้าอาคารจนขึ้นเครื่องบิน เพิ่มความมั่นใจให้กับการเดินทาง ในอนาคตเราปรับปรุงอาคารเสร็จมีห้องผู้โดยสารระหว่างประเทศและในประเทศไว้ชัดเจน เรามีหน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)และการบินระหว่างประเทศ เรามีขนส่งสาธารณะ แท็คซี่มิเตอร์ ลีมูลซีน ซิตี้บัส ให้ผู้ใช้บริการมีทางเลือก หรือจะขับรถเองก็มีลานจอดกว้างขวางซึ่งเราได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี
“ช่วงระหว่างก่อสร้างอาจไม่สะดวกการจราจรไม่เกิน 2 ปีทุกอย่างเรียบร้อยชั้นหนึ่งเป็นขาเข้าชั้นสองเป็นขาออก มีจุดนัดพบเพิ่มขึ้น อาคารเรากว้างขวางมาก หากมีปัญหาในการเดินทางเรามีเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ เราเพิ่มจอบอกเที่ยวบินเข้าออก และแอปพลิเคชั่นดูว่าไฟลท์ไหนมาถึงรึยังโดยไม่ต้องมารอที่สนามบินก็ได้”ว่าที่ร.ต.อัธยากล่าว
…………………………………….