ขอยกย่องนักสู้ชื่อ “สานิตย์ พลศรี” และ “พิชัย สมพงษ์” ที่ไม่ยอมจำนนต่อกระบวนการยุติธรรม/การฉ้อโกงในแวดวงครู
ในขณะที่สถานการณ์บ้านเมืองเกิดเหตุการณ์อันเป็นปกติใหม่ (new normal) โดยกลุ่มเยาวชนปลดแอกและแนวร่วมเยาวชนนักเรียนนิสิตนักศึกษาทั่วประเทศได้เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง “แหลมคม แรง เร็ว และน่ารัก” เพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลว่าด้วย 3 ข้อเรียกร้อง 2 เงื่อนไข และ 1 ความฝันอันสูงสุด โดยมีการเคลื่อนไหวสำคัญอย่างน้อย 6 จุด (นับถึงวันที่ 21 สิงหาคม 2563) คือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (10 สิงหาคมฯ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าลาดกระบัง บรรดานักเรียนมัธยมศึกษาประท้วงหน้ากระทรวงศึกษาธิการ และการเคลื่อนไหวแห่งที่ 7 ขอนแก่น รวมถึงอื่นๆ ที่จะตามมาอีกมาก
เรา(ผู้เขียน) คิดและเขียนอย่างตรงไปตรงมาว่า เหตุการณ์ของเยาวชนฯ เคลื่อนไหวครั้งนี้มันจะเป็นไฟลามทุ่งไปทั่วประเทศ เร็วและแรงกว่า “เรื่องไฟลุกท่วมทุจริตสหกรณ์” แม้ว่าจะมีการตั้งกลุ่มขึ้นเพื่อต่อต้านที่ตั้งขึ้นทั้งเก่าและใหม่(เช่น กลุ่มศูนย์กลางประสานงานอาชีวะประชาชนปกป้องสถาบัน (นำโดยนายสุเมธ ตระกูลวุ่นหนู) กองทัพประชาชนปกป้องพระเจ้าแผ่นดินประจำจังหวัด (นำโดย น.พ.เหรียญทอง แน่นหนา) กลุ่มสถาบันทิศทางไทย (นำโดยสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม) และกลุ่มไทยภักดิ์ (นำโดย น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม) ฯลฯ ก็ไม่อาจจะต้านทานได้
ดังนั้น ในตอนที่ 10 นี้เราจึงได้คัดเลือกผู้ต่อสู้จริงอย่างยาวนานในสหกรณ์ออมทรัพย์ครูแห่งภาคอีสาน โดยที่ไม่หวังผลประโยชน์ส่วนตัว แต่มุ่งหวังให้สังคมได้สัมผัสกับความถูกต้องชอบธรรมในวงการครู และรับรู้ว่าในวงการครูจริงๆ มีผู้ต่อสู้จริงยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง และกำลังทลายเรื่องทุจริตขนาดใหญ่ในวงการสหกรณ์ครูแชร์ลอตเตอรี่ 14 สหกรณ์ และการยักยอก ฉ้อโกงประชาชนในสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ฯ ที่ควรเอ่ยนามสองท่าน
นายสานิตย์ พลศรี นายกสมาคมครูจังหวัดชัยภูมิ (ศิษย์เก่าวิทยาลัยครูนครราชสีมา) และผู้อำนวยการ สกสค.จังหวัดชัยภูมิ ขณะนี้เขากำลังร้องเรียนเรื่องใหญ่มากคือ องค์การค้าของ สกสค. โดยให้ดำเนินการเอาผิดกับการทุจริตในองค์การค้า สกสค. และใช้อำนาจกู้เงินไม่ผ่านบัญชีขององค์การค้าฯ เป็นการส่อทุจริตให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งจำนวน 7 ครั้ง เงินกู้ทั้งสิ้น 3,139 ล้านบาท (ร้องไปยัง ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2563) และฟ้องศาลปกครองโดยศาลปกครองสูงสุด(คดีหมายเลขแดงที่ 219-220/2558) ได้มีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2563 เมื่อคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดระบุว่าฝ่ายกรรมการสหกรณ์ชุดสานิตย์ฯ ทำถูกแต่กลับถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งทั้งหกคน เขากับพวกก็จะฟ้องศาลทุจริตฯ 3 คดีทันที นี่ถือเป็น “ประวัติศาสตร์หน้าใหม่” ครั้งแรกในวงการสหกรณ์ครูนับแต่จัดตั้งมาในประเทศไทย (จะฟ้องจำเลยทั้งสิ้น 9+41 คนในคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ) (ดูภาพประกอบ)
นายสานิตย์ พลศรี นายกสมาคมครูจังหวัดชัยภูมิ (ศิษย์เก่าวิทยาลัยครูนครราชสีมา) และผู้อำนวยการ สกสค.จังหวัดชัยภูมิคนที่ 2 จากซ้ายมือ
นายพิชัย สมพงษ์ อดีตกรรมการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูนครราชสีมาจำกัด (หลายสมัย) และกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ครูนครราชสีมาจำกัด(ส.ส.นม.) (ศิษย์เก่าวิทยาลัยครูนครราชสีมา) ทำการศึกษาร้องเรียนอย่างละเอียดมาแล้ว 3 ปีพร้อมด้วยนายสัมนา ฉัตรบูรณจรัส นายเสน่ห์ สุขนาคินทร์ และนายสำเภา ทวีผล
นายพิชัย สมพงษ์ อดีตกรรมการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูนครราชสีมาจำกัด (หลายสมัย) และกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ครูนครราชสีมาจำกัด(ส.ส.นม.) (ศิษย์เก่าวิทยาลัยครูนครราชสีมา) ซ้ายมือ
“4 ขุนพล” ที่พยายามศึกษารายละเอียดและร้องเรียนโดยมีหนังสือไปถึงหลายหน่วยงานตรวจสอบแล้วกว่า 50 ฉบับ ผลสุดท้ายได้คดียักยอกฉ้อโกงประชาชน และอาจรวมไปถึงขั้นการฟอกเงินด้วย ถือเป็น “คดีประวัติศาสตร์ในวงการครู” ที่กล่าวหากรรมการและเจ้าหน้าที่ในสหกรณ์และสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ฯ 3 สมาคม (4 องค์กร) ทำให้มีผู้ต้องหา(อาจเป็นจำเลย) มากกว่า 100 คนเลยทีเดียว(ดูภาพประกอบ และเอกสารประกอบ)
กรณีสหกรณ์ครูชัยภูมิ เริ่มจากการร้องทุกข์กล่าวโทษไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) และฟ้องร้องศาลปกครองกลางนครราชสีมา และศาลได้อ่านคำพิพากษาแล้วตามคดีหมายเลขแดงที่ 22/2558 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558 ระหว่างนายสานิตย์ พลศรีที่ 1 นายมังกร พันธ์กิ่งที่ 2 นายปิยะวุฒิ ดวงกมลที่ 3 นายสุดสาคร เรืองวิเศษที่ 4 นายวีระพจน์ ตันติปัญจพรที่ 5 นายสันติ คงวัฒนาที่ 6 ผู้ฟ้องคดี อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์(ในฐานะนายทะเบียนฯ) ผู้ถูกฟ้องคดี “…เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งหกในฐานะคณะกรรมการฯ ชุดที่ 54 มิได้เกี่ยวข้องการจัดทำสัญญาซื้อขายสลากฯ และได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวตามคำสั่งของนายทะเบียนสหกรณ์มาโดยตลอด ดังที่ได้วินิจฉัยไปแล้ว รวมทั้งออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีทั้งหกในฐานะคณะกรรมการฯชุดที่ 54 พ้นจากตำแหน่ง จะมีผลให้ผู้ฟ้องคดีทั้งหกต้องขาดคุณสมบัติในการรับสมัครรับการสรรหาเพื่อดำรงตำแหน่งกรรมการฯสหกรณ์ตามมาตรา 52(3) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ก็ยังเลือกที่จะออกคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ จึงถือว่าคำสั่งดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีทั้งหกโดยไม่จำเป็นและเกินสมควร กรณีการใช้ดุลพินิจในการออกคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ข้ออ้างของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองรับฟังไม่ได้ และการที่ผู้ตรวจการสหกรณ์ได้เข้าตรวจสอบกิจการของสหกรณ์ และมีความเห็นว่าสหกรณ์ฯ ยังมิได้ดำเนินการตามคำสั่งของนายทะเบียนสหกรณ์จึงเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป และการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1(โดยผู้ตรวจราชการกรมฯ) มีคำสั่งให้คณะกรรมการฯ ชุดที่ 54 พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะจึงเป็นการใช้ดุลพินิจในการออกคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีผลให้คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่ให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งหก เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบกฎหมายตามไปด้วย พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ 317/2555 ลงวันที่ 22 มีนาคม 2555 เฉพาะส่วนที่ให้ผู้ฟ้องคดีทั้งหกพ้นจากตำแหน่งฯ และคำวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่ให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งหก ทั้งนี้นับแต่วันที่มีคำสั่งและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว” หลังจากนั้นในวันที่ 30 กรกฎาคม 2563 ศาลปกครองสูงสุดก็ได้มีคำพิพากษายืน
จากนี้ไปจะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการครูและประชาชนทั่วประเทศ นายกสมาคมครูจังหวัดชัยภูมิกับพวกก็จะจัดแบ่งการฟ้องร้องดัวยตนเอง 3 คดี โดยคดีแรกจะฟ้องคดีอาญาศาลทุจริตกลางจังหวัดสุรินทร์ 3 คนในจังหวัดชัยภูมิ(สุพจน์ฯ สหกรณ์จังหวัดฯ นางวราลักษณ์ฯ ผู้อำนวยการกลุ่มจัดตั้งและส่งเสริมสหกรณ์ และนางสาวศุภลักษณ์ฯ ผู้สั่งการในหนังสือ “ทราบและเห็นชอบตามเสนอ”) คดีที่ 2 ฟ้องนายสมชาย ชาญณรงค์กุล (อดีต) อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์กับพวกรวม 6 คน และคดีที่ 3 จะฟ้องนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับพวกรวม 41 คนยังศาลทุจริตกลาง เป็นลำดับถัดไป
ลิ้งก์ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์ลอตตารี่728ล้าน ศปค.สูงสุดพิพากษายืน ปลด‘สานิตย์ พลศรี’และพวกมิชอบ
มาทางด้านสหกรณ์ครูนครราชสีมาฯและสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ฯ 3 สมาคม (รวม 4 องค์กร) ได้ร่วมกันยักยอก ฉ้อโกงประชาชนหลายปี และแทบทุกเดือนเท่าที่สุ่มตรวจหลักฐานเป็นใบเสร็จรับเงิน (ทั้งชอบด้วยกฎหมายและมิชอบฯ) มีมาตั้งแต่ปลายปี 2558-2563 และผู้เท่าที่ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบพบว่า การจัดตั้งไม่น่าจะถูกต้อง มีนายทุนออกเงินสร้างสำนักสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ใหม่ให้ก่อน มาให้ที่ประชุมใหญ่สมาคมฯมีมติส่งเงินให้นายทุนทีหลัง (สมาคมฯไม่มีเงินสร้างสำนักงาน ได้อย่างไร ต้องมีการประมูลงานหรือไม่ ฯลฯ)
นอกจากนั้นยังพบครูตายแล้วไม่ตายจริง เท่าที่ตรวจสอบโดยสุ่ม 6 อำเภอก็พบว่ามีเงื่อนงำซ่อนเงื่อนเป็นข้อพิรุธอย่างมาก สรุปว่าองค์กรทั้ง 4 โดยสหกรณ์ครูและอีก 3 สมาคมอาจยักยอกเงินครูเป็นระยะๆ มาช้านาน และอาจฉ้อโกงประชาชน ถ้าทำเป็นธุรกิจหมุนเวียนทั้งกลุ่มคนและระยะเวลายาวนานอาจเข้าข่ายการฟอกเงินด้วย งานนี้ทั้ง 4 องค์กรมีบุคคลที่จะต้องถูกตรวจสอบกรรมการและเจ้าหน้าที่กว่า 100 คนเลยทีเดียว
“ผมดีใจมากว่าการร้องเรียนยื่นจดหมายไปประมาณ 3 ปี 50 กว่าฉบับ ก็เพิ่งจะพบแสงสว่าง และคิดว่าการดีเอสไอได้รับเป็นคดีพิเศษเป็นคดีแรกๆ ในประเทศไทย คดีนี้จะเป็นประวัติศาสตร์ครั้งแรกที่ครูและสมาชิกเข้าใจจะได้รับรู้อย่างถ่องแท้เสียที คนที่หากินบนความทุกข์ยากของครูไม่มีสิทธิที่จะปฏิเสธกฎแห่งกรรมไปได้เลย” นายพิชัย กล่าว.
เราต้องคอยติดตามครูผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ พร้อมเข้าใจและรับรู้ว่ายังมีครูดีและหาญกล้าลุกขึ้นมาต่อสู้เปิดโปงกลุ่มบุคคลที่หากินกับเงินบาปนี้ต่อไปจนถึงที่สุด.
(ติดตามตอนที่ 11 เทคนิครวมหมู่การจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สงเคราะห์ฯ)