กลุ่มอำนาจนิยมมักละเลยต่อข้อเสนอที่เป็นความจริงทางสังคม และ ไม่ยอมปล่อยอำนาจที่ตนได้ประโยชน์ไปอย่างง่ายๆ กระทั้งพวกเขาต้านทานไม่ไหว เชื่อคนหนุ่ม-สาวที่ออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้คือ ความหวังเปลี่ยนแปลงสังคมใหม่ของประเทศ
การต่อสู้และเรียกร้องเพื่อประชาธิปไตย มีความหมายและมีความสำคัญเสมอต่อมวลมนุษยชาติ เนื่องจากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงเรื่องเสรีภาพที่ปลอดจากการถูกกดขี่และการใช้อำนาจบังคับในทางมิชอบ รวมทั้งกล่าวถึงเรื่องความเสมอภาค ความมีศักดิ์ศรีของมนุษย์ และอำนาจอธิปไตยอันเป็นของประชาชน เป็นต้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมการต่อสู้เรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยจึงมีพลัง และมีผู้คนจำนวนมากในโลกนี้ ที่เข้าร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างไม่ขาดสายธารในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
คำว่า “ประชาธิปไตย” มีความหมายที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับระบอบเผด็จการ และระบบอำนาจนิยม และยังเป็นของแสลงเสมอต่อระบอบเผด็จการทุกรูปแบบอีกด้วย ประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า ประชาธิปไตยนั้นยากที่จะสถาปนาขึ้นโดยปราศจากการต่อสู้ดิ้นรน และการระดมมวลชนอย่างกว้างขวาง บางครั้งต้องใช้เวลานานในการต่อสู้เรียกร้อง บางครั้งต้องประสบกับความเจ็บปวดและมีการสูญเสียอย่างมาก อย่างไรก็ดี ในเบื้องต้นประชาชนคนธรรมดาสามัญทั้งหลายต้องมีความเชื่อมั่นเสียก่อนว่า การปกครองแบบประชาธิปไตยจะนำไปสู่การสร้างสังคมที่ดีกว่าได้ และประชาธิปไตยทำให้ได้มาซึ่งสิทธิและความต้องการขั้นพื้นฐานต่างๆ หลังจากนั้นจึงต้องมีการรวมตัวกันเรียกร้องเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ประชาชนปรารถนา
ประชาธิปไตยโดยตัวของมันเองไม่ใช่เป็นสิ่งที่เบื้องบนหยิบยื่นให้ ผู้ปกครองแบบอนุรักษ์นิยมและจารีตนิยม หรือเผด็จการทหาร หรือชนชั้นนำผู้ผูกขาดอำนาจตลอดกาล ฯลฯ พวกเขาเหล่านี้ไม่มีผู้ใดเลยที่จะยินยอมเสียสละอำนาจและตำแหน่งโดยสมัครใจ หากแต่พวกเขาจะยอมแพ้ก็ต่อเมื่อไม่อาจต้านทานกระแสของมวลชนได้ หรือเมื่อรัฐบาลของพวกเขาเสื่อมในความเชื่อถืออย่างถึงที่สุดแล้วเท่านั้น โดยที่การระดมมหาชนหรือราษฎรอย่างกว้างขวางนั้นจะทำให้พวกเขาเชื่อว่า หากยังขืนอยู่ในอำนาจอีกต่อไปมีแต่จะเกิดความวุ่นวาย และทำให้การปกครองที่มีเสถียรภาพไม่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกต่อไป
ฟรานซิส ฟูกูยามา นักคิดทางสังคมและการเมืองระดับโลกถึงกับป่าวประกาศว่า โลกในศตวรรษที่ 21 ประชาธิปไตยได้รับชัยชนะเหนือการปกครองแบบอื่นแล้วทั้งหมด แปลความได้ว่า ในโลกสมัยใหม่ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งกระแสการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยได้อีกต่อไปแล้ว แม้ว่าในหลายประเทศปัจจุบันซึ่งรวมถึงประเทศไทย การเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยต้องประสบกับปัญหายุ่งยากลำบากอย่างมากก็ตามที แต่เราต้องไม่ลืมว่า ทิศทางของโลกถือเอาความต้องการของประชาชนเป็นหลัก หรืออำนาจต้องเป็นของราษฎร ประเทศไหนที่ฝ่าฝืนต่อทิศทางเช่นนี้ ย่อมไม่อาจอ้างอิงถึงหลักการประชาธิปไตยมาเป็นความชอบธรรมของตนเองได้
ในสังคมไทย ผมอยากเห็นการปฏิรูปประเทศให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ด้วยการสร้างความเสมอภาคเท่าเทียมในความสัมพันธ์ระหว่างกันของผู้คนทุกระดับ ให้ประชาชนมีหลักประกันเรื่องการใช้สิทธิเสรีภาพทางการเมืองว่าจะไม่ถูกคุกคามจากผู้ใด ให้มีการขจัดระบบอำนาจนิยมและเผด็จการจากรัฐ และการขจัดวัฒนธรรมทางการเมืองแบบอำนาจนิยมและศักดินา ที่ดำรงอยู่และกดทับคนไทยมาเป็นเวลาช้านาน ให้มีการขจัดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในวงราชการไทยที่เกิดขึ้นทุกหน่วยงานอย่างจริงจัง ซึ่งกัดกินงบประมาณแผ่นดินอันมาจากภาษีราษฎรทั้งหลาย และเป็นเชื้อร้ายที่ทำลายสังคมไทยมายาวนาน เพื่อให้สังคมของคนรุ่นลูกรุ่นหลานได้มีอนาคตที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ชนชั้นผู้ปกครองซึ่งยึดกุมอำนาจรัฐไว้ในมือขณะนี้ คงไม่ยินยอมปล่อยให้อำนาจที่เปรียบเสมือนขนมหวานของตนหลุดมือง่ายๆ เนื่องจากการดำรงอยู่ในอำนาจรัฐครั้งนี้ พวกเขามีการจับมือกันอย่างเหนียวแน่นระหว่างบรรดาขุนศึก ขุนนาง และนายทุนเจ้าสัว โดยต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ร่วมกัน ภายใต้การสนับสนุนของฝ่ายการเมือง ข้าราชการ และฝ่ายประชาชนที่มีแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยมสุดโต่งหรือขวาจัด ที่ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงและยังคงต้องการรักษาสถานภาพเดิมเอาไว้ ดังนั้น การต่อสู้เรียกร้องเพื่อประชาธิปไตย จึงนับเป็นภารกิจสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเยาวชนคนหนุ่มสาวรุ่นปัจจุบัน ที่จะต้องเดินหน้าต่อไป จนกว่าจะได้ประชาธิปไตยมาตามที่คาดหวังกันไว้ เมื่อใดที่แสงอาทิตย์อุทัยขึ้นในยามเช้าทุกวัน เราต้องไม่หมดหวังกับการต่อสู้เรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยและการสร้างสังคมที่ดีกว่า