“กงกฤช หิรัญกิจ” เสนอแนวทางช่วยเหลืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯ เน้นผู้ประกอบการให้อยู่รอดได้ เพื่อชะลอการเลิกจ้างบุคลากรกว่า 8 ล้านคน ลดค่าใช้จ่ายหลัก ด้านแรงงานโดยให้รัฐอุดหนุนผ่านระบบประกันสังคม ค่าสาธาณูปโภค ภาษี ดอกเบี้ย ตั้งโครงการช่วยเหลือพิเศษให้ธนาคารรัฐดำเนินการ เหมือนที่ช่วยภัยพิบัติของภาคเกษตร
นายกงกฤช หิรัญกิจ อดีตประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เขียนเฟส บุ๊กส่วนตัวว่าได้ร่วมบรรยายให้กับหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงทางเศรษฐกิจและนโยบายสาธารณะ (ปศส.19) สถาบันพระปกเกล้า เรื่องการท่องเที่ยวไทยร่วมกับนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
เมื่อวันเสาร์ที่ 9 ม.ค.64 ผ่านระบบ Zoom มีเนื้อหาโดยสรุปว่า รัฐมนตรีการท่องเที่ยวฯได้คาดการณ์ว่า การระบาดของโควิด 19 รอบ 2 น่าจะสิ้นสุดภายในไม่เกินเดือนมีนาคม 2564 และวัคซีนที่ประเทศไทยจองซื้อไว้ จะมาถึงในเดือนมิถุนายน 2564 รวม 61 ล้านโดรส ซึ่งเป็นจำนวนเพียงพอขั้นต่ำที่จะสร้างภูมิคุ้มกันการระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 ในประเทศไทย
หลังจากนั้นก็เชื่อว่าการท่องเที่ยวภายในประเทศจะเริ่มฟื้นตัว พร้อมๆกับการทยอยเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยหากประเมินตามสถานการณ์ดังกล่าว คาดว่าในปี 2564 นี้ ประเทศไทยจะมีรายได้จากท่องเที่ยว ประมาณ 1 – 1.15 ล้านล้านบาท สูงกว่าปี 2563 ที่มีรายได้ประมาณ 870,000 ล้านบาทอยู่เล็กน้อย แต่ยังต่ำกว่า 3.1 ล้านล้านบาท ทีได้รับในปี2562 ซึ่งเป็นปีก่อนเกิดเหตุการณ์โควิด 19 อยู่มาก หรือลดลงกว่า 70%
นายกงกฤช ระบุว่า ได้เสนอความเห็นในช่วงการระบาดรอบ 2 นี้ (ม.ค. – มีค.) การสร้างอุปสงค์ทางการท่องเที่ยว โดยการกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยว อาจต้องชะลอออกไปก่อนและหันมาเน้นการช่วยเหลือด้านอุปทาน หรือผู้ประกอบการท่องเที่ยวให้อยู่รอดได้ก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด 19 มานานกว่า 9 เดือนแล้ว
“แนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการ คือการช่วยพยุงสภาพคล่องของธุรกิจ ด้วยการลดการใช้จ่ายเงินใน 3 เรื่องที่เป็นการใช้จ่ายหลักคือ ค่าจ้างแรงงาน ค่าสาธารณูปโภคและภาษีต่างๆ รวมทั้งค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นด้วย”นายกงกฤชระบุ
นายกงกฤชระบุว่า การช่วยเหลือค่าจ้าง ตนขอให้ภาครัฐ เข้ามาช่วยรับภาระร่วมกับผู้ประกอบการ และลูกจ้าง โดยทุกฝ่ายต้องช่วยกัน เพื่อให้สามารถชะลอการเลิกจ้างในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอ้อมที่มีปริมาณมากถึง 8 ล้านคน ออกไปให้ถึงช่วงครึ่งหลังของปีให้ได้ โดยให้รัฐบาลอุดหนุนเป็นเงิน 1 ใน 3 ของค่าจ้างที่ไม่เกิน 15,000.- บาท ผ่านระบบประกันสังคม เพื่อสะดวกในการบริหารและตรวจสอบ
“ส่วนการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า และภาษีต่างๆ เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รัฐบาล ก็ควรลดให้ในอัตราที่เคยช่วยเหลือในช่วงแรกของการระบาดในปี 2563”นายกงกฤชระบุ
นายกงกฤช ระบุว่า สำหรับการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย รัฐบาลควรถือว่าวิกฤติโควิด 19 นี้ มีผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวอย่างมาก เหมือนที่ภาคเกษตรเคยได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติต่างๆ ซึ่งรัฐบาลเคยเข้ามาอุดหนุนลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลง โดยการตั้งบัญชีพิเศษเพื่อการนี้ (Public Service Account ,PSA)ผ่านธนาคารเฉพาะกิจของรัฐและให้ธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาแนวทางขยายระยะเวลาการปลอดชำระคืนเงินต้นออกไปอีกอย่างน้อยถึง เดือนมิถุนายน พร้อมสนับสนุนเงินกู้ซอฟท์โลนเพิ่มเติม
เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างรุนแรงในรอบที่ 2 เริ่มคลี่คลายดีขึ้น ราวเดือนมีนาคม ให้รัฐบาลเร่งโครงการกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวทันที ตามที่ได้มีโครงการต่างๆอยู่แล้วและควรคิดโครงการขึ้นเพิ่มเติมที่ตรงเข้าไปยังสาขาธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบอื่นด้วย
นอกจากธุรกิจที่พักแรมและร้านอาหาร เช่น บริษัทนำเที่ยว และมัคคุเทศก์ หรือธุรกิจสันทนาการต่างๆ เป็นต้น และโครงการควรให้น้ำหนักสัดส่วนไป ตามภูมิภาคที่ได้รับผละกระทบมากน้อยไม่เท่ากัน ด้วยโดยเฉพาะที่ได้รับผลกระทบมาก คือในภาคใต้และกรุงเทพ ที่มีรายได้ลดลงกว่า 75% มากกว่าภาคอื่นๆของประเทศ นอกเหนือจากเป็นโครงการ การสร้างอุปสงค์การเดินทางท่องเที่ยวเป็นการทั่วไป ที่ได้ดำเนินการมาเป็นผลดี เช่น โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เป็นต้น