ความขัดแย้งทางการเมืองสาเหตุหนึ่ง คือการเอารัฐธรรมนูญมาเป็นข้ออ้าง ประเทศไทยกำลังใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 บริหารประเทศ รัฐธรรมฉบับนี้เริ่มต้นก็มีปัญหาจนต้องเปลี่บนตัวผู้เขียนจาก นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ มาเป็นนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เมื่อเขียนเสร็จมีการไปขอเสียงจากประชาชนมีคนเห็นด้วย16 ล้านคน และไม่เห็นด้วย10 ล้านคน ความขัดแย้งจึงเริ่มต้นขึ้น รัฐธรรมนูญมีทั้งหมด 279 มาตรา ในหลายมาตรามีปัญหา เมื่อประกาศใช้ เช่นหมวดการเลือกตั้ง ที่ถูกล้อเรียนว่า คะแนนเขย่งได้
กระแสความต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญมีมาโดยตลอด แต่ทำได้ยากมาก เพราะมีมาตรา 256 ที่เขียนล็อคไว้ถึง 9 ด่าน แต่ด้วยปัญหาที่เกิดขึ้นจริงๆ รัฐบาลต้องยอมตั้งกรรมาธิการขึ้นมาศึกษาปัญหา โดยนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นประธาน มีสมาขิกรวมศึกษา 49 คน
เดิอนกันยายน 2563 กรรมาธิการศึกษาฯได้นำเสนอต่อสภา มีสมาขิกฝ่ายรัฐบาลออกมาค้านว่า ควรทำอย่างรอบครอบและได้เสนอตั้งกรรมาธิการพิจารณาร่างที่ศึกษาก่อน และที่ประชุมเสียงข้างมาก 432 คนเห็นด้วย ฝ่ายค้านเห็นว่านี่คือการเตะถ่วงและค้านด้วยเสียง 255 จึงแพ้โหวตไป
วันที่ 9 กุมภาพันธ์ มีการประชุมของ 2สภา เพื่อนำเอาผลการพิจารณาว่าจะรับร่างหรือไม่ เพราะเสียเวลามาแล้ว 30วัน มีนานวิรัช รัตนเศรษฐ์ เป็นประธานพร้อมกรรมาธิการ 45 คน
ก่อนการพิจารณา ก็มีญัตติด่วนจาก สส.ไพบูลย์ นิติตะวัน และ สว.สมชาย แสวงการ ขอให้สภาอย่าเพิ่งพิจารณาร่างฉบับนี้ ขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความก่อน ว่าสภาจะพิจารณาได้หรือไม่ มีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง พรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่เห็นด้วยกับญัตตินี้ จนพรรคภูมิใจไทยเรียกการดึงเกมส์นี้ ว่า”รีเลย์เทคนิค” แต่สุดท้ายสภาฯ ก็ลงมติด้วยเสียง 366ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ อีก 315 ค้าน
รัฐธรรมนูญเจ้าปัญหาฉบับนี้จะเดินทางต่อไปอย่างไร ต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีก18 เดือน และอาจจะเป็นชนวนเหตุแห่งการขัดแย้งกันเพิ่มขึ้นหรือไม่? ไม่มีใครคาดเดาได้ แต่ก็น่าเป็นห่วง เพราะครั้งนี้พรรคร่วม โดย.. ทวิสันต์ โลณานุรักษ์
แสดงความคิดเห็น