Khonkaen Blockchain Forum KKTT ซุ่มสร้างเหรียญสกุล KUSD ซื้อของออนไลน์แบบไม่ต้องห่วงโดนโกง

โดม เจริญยศ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิไทยเชน และบริษัท Dome Cloud จำกัด ได้รับเชิญจากสมาคมการค้าซอฟแวร์และธุรกิจนวัตกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เดินทางมาบรรยายพิเศษ หัวข้อ Metaverse Khonkaen

แพลตฟอร์ม “อีสานบิซ” โดย “ณัฐพร นันทะแสง, ณัฐณิชา กองพระ และอารยา ศรีบัวรินทร์” ถอดความการบรรยายโดยละเอียดมานำเสนอ เนื่องเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องใหม่ในแวดวงการธุรกิจที่น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ติดตามอีสานบิซ ในทุกแพลตฟอร์ม 

 

 

โดม ระบุว่าแนวคิดที่มาของการสร้าง Khon Kaen blockchain forum มาจากการที่รู้สึกว่า blockchain เป็นโครงสร้างพื้นฐาน และต้องการหาพื้นที่ประชุมที่ขอนแก่น

“ไอเดีย คือ เจอกันเดือนละครั้ง เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่อยากมาเล่า หรือจะมีคำถามก็จะได้เตรียมไว้”

Blockchain เป็น key value database ที่สร้างเงื่อนไขได้ ผมจะพูด blockchain เป็น 2 พาร์ท พาร์ทแรกในเรื่องของ database ให้มอง blockchain เป็น key value

ข้อดีคือ สามารถเขียนเงื่อนไขได้ ฉะนั้นมันคือ database ที่มีเงื่อนไขไว้ ส่วนใหญ่ในเมืองไทยจะมองว่ามันมีการเข้ารหัส ซึ่งผิด blockchain ไม่มีการเข้ารหัส และโปร่งใส

พาร์ทที่สอง blockchain กลับไปใช้วิธี PKI แบบในอดีต ธุรกรรมใน blockchain ไม่มีการโอนไม่ได้ blockchain อันแรกที่เรารู้จัก คือ bitcoin ซึ่งไม่มี Smart Contact เขียนอะไรเพิ่มไม่ได้ ส่วน Ethereum สามารถสร้างเหรียญใหม่บน Ethereum ได้ เวลาที่พูดถึงเหรียญบน Ethereum เราจะพูดถึงมาตรฐานแต่ละตัว

Metaverse Thailand มาจากบริษัทสิงคโปร์ มีโจทย์ค่อนข้างกว้าง ทุกคนมอง Metaverse เป็นเกม แต่ผมไม่ได้มองเป็นเกม ผมมองเป็น Economic ตอนที่โจทย์มาถึง เราไม่ได้รับทำเพราะเราไม่มีความรู้เรื่อง Metaverse

 

 

Modern metropolis illuminated neon lights futuristic skyscrapers buildings on digital simulation grid cartoon vector illustration. Future city virtual model, game urban background. Nightlife concept

 

พอโจทย์เขาบอกว่า Metaverse ไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่คนมองก็ได้ น่าจะมองจากการซื้อที่ก่อน พอโจทย์เปลี่ยนให้เรามีโอกาสได้คิดต่อจึงได้ไปตาม iBIT มาร่วมงาน ให้สร้าง Map ให้โดยดีไซน์แรกเราจะเริ่มสร้างเมืองโดยขายที่ดินเป็นบล็อคๆ เป็นบล็อก 6 เหลี่ยม

blockchain มองว่าที่ดินเป็น Non Fungible แต่ละบล็อคมีหมุดหมายไม่เหมือนกัน มันต้องเป็น NFT ดังนั้นเราจึงสร้าง NFT ขึ้นมา ที่ดิน 1 บล็อกทำอะไรไม่ค่อยได้ คุณจึงสามารถซื้อที่หลายๆบล็อกได้ เรามีกลไกบีบให้ซื้อได้วันละ 3 รอบ รอบละ 15 นาที ซื้อเสร็จจะได้ที่มา และเป็นชื่อของตนเอง

สิ่งต่อไปของ Metaverse Thailand คือ เริ่มทำธุรกิจบนที่ตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น เดือนหน้าเราจะมีบริการจำนองที่ดิน เนื่องจากการคาดการณ์ว่าในอนาคตถ้า Metaverse Thailand ไปได้ไกล ที่ดินจะแพงขึ้นแน่นอน จึงทำการซื้อไว้ แต่ยังไม่อยากขาย เลยเกิดระบบการจำนองขึ้นมา

ฉะนั้น Metaverse ไม่ใช่เรื่องใหม่ มันคือการเอาเรื่องที่อยู่ใน Ecosystem หรือ Economic เดิม จับมาอยู่บน platform ที่เป็น versal สิ่งที่เคยทำยากๆหลายขั้นตอน เอามาทำใน blockchain และเชื่อถือได้

 

 

อันที่สองจะเริ่มหลากหลาย จะเป็นเซอร์วิสประเภทซึ่ง partner จะเข้ามาใช้พื้นที่ มันก็จะดึงเอาคนในกลุ่มที่เป็น user นั้นๆเข้ามา

Opensea เป็น Marketplace ขาย NFT ลองนึกภาพว่า NFT บน Opensea ก็เหมือน DeFi คือมี Metamask เงิน Wallet มีคนโพสต์รูป ตั้งราคา เวลาสร้างรูปหนึ่งรูปก็เป็น NFT หนึ่งตัว แล้วก็มีคนขาย (โชว์งานสะสม) ทั้งหมด NFT ของ Opensea มันคือ dApp ใช้ Metamask Wallet เพื่อ Mint รูป เสียค่าธรรมเนียมในการ Mint สร้างรูปหนึ่งรูป แล้วนำไปตั้งขาย แล้วก็มีคนมาซื้อ

เพราะฉะนั้นหน้ากาก Opensea นำออกมาได้เลย ย้ายมาอยู่บน Metaverse Thailand มาซื้อตึกหนึ่งตึก แล้วทำระบบขายรูป หากมีพระเครืองเยอะ ก็สามารถเปิดตึกพระเครื่อง NFT โดยที่ไม่ต้องทำเว็บ เวลาแชร์ลิงก์ไป เมื่อกดลิงก์ก็จะนำทางมาที่ตึกพระเครื่องเลย เมื่อกดเข้าไปจะมีรูปพระกี่องค์ จะเช่า หรือทำอะไรก็ได้เป็น Marketplace

เพราะฉะนั้นตัว Metaverse Thailand คือ การสร้าง Economic และจะเริ่มมี Service ขึ้นมา Service แบบนี้ ใครที่อยากทำอะไรก็สามารถทำได้ ขอแค่มองว่าจะต้องเป็น DeFi เหมือน dApp ไม่ต้องมี Log in กระเป๋ามีแล้ว Blockchain มีให้แล้ว ถ้าต้องการ Contact พิเศษ จะ Deploy เองก็ได้ แล้วลิงก์เข้าไปซื้อขายเอง เหมือนตึกพระเครื่อง ก็จะเป็นแบบนั้น

ในเดือนพฤศจิกายน 64 จะมี Service ออกมา 3 – 4 ตัว ที่เคยพูดไว้ แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้น เป็นเรื่อง Infrastructure พอเราเริ่มสร้างเมือง เราก็จะต้องสร้างเงิน สกุลเงิน อันนี้ต้องพยายามคิดไม่ให้แบงก์ชาติกังวลกับเรามากนัก เพราะจะมีตัว CBDC ในไตรมาสที่สองปี 2565 แต่ว่าเรารอไม่ไหว Metaverse Thailand จึงไปยืมโมเดลที่เป็นหนึ่ง Feature DeFi

DeFi มีอยู่ 3 – 4 เรื่อง เรื่องที่หนึ่งคือ Exchange ที่เรียกว่า Dex หรือ Swap แลกเปลี่ยนเหรียญ Bitcoin เป็น Dollar หรือ Dollar เป็น Bitcoin โดยไม่ต้องมีคนกลาง นี่คือ Feature ที่หนึ่ง

เรื่องที่สองคือ การเอาเหรียญมาจำนำ เอา Stablecoin ออกไป เอากลับมาคืนจ่ายดอกเบี้ย แล้วเอาเหรียญกลับไป เหมือนการจำนองที่ดิน นี่เรียกว่า Lending เรืองที่สามคือ Synthetic คือ การสร้างสินทรัพย์ขึ้นมาใหม่ โดยอิงจากสินทรัพย์เดิม

ยกตัวอย่างตอนที่เราทำ Stablecoin อันแรกของ Ethereum ชื่อว่า USDT เขาต้องการเหรียญ 1 เหรียญ ที่มีราคาเท่ากับ 1 Dollar เสมอ เอา Dollar มาแล้วเอาเหรียญไป ถ้าจะแลกกลับก็เอาเหรียญกลับมาแล้วเอา Dollar ไป ค่านี้เป็นค่า Custodian

โลกนี้เป็นอย่างนี้อยู่ คือเอา Dollar มา 1 หมื่น Dollar เอาเหรียญไป เมื่อเอาเหรียญมาคืนก็เอา Dollar กลับไป ความยุ่งยากของการทำแบบ Custodian ก็คือ ต้องมีคนเก็บรักษาเงินจริงในธนาคาร มีคนเคยพูดว่า ตกลง USDT มัน Stable จริงหรือไม่ ?

นั่นคือปัญหา เพราะเงินจริงยังอยู่ในธนาคาร ถ้าธนาคารล้ม Dollar หรือ USDT ก็เจ๊งเลย เพราะฉะนั้นกลไกในการ Synthetic สินทรัพย์ขึ้นมาใหม่ จะเป็นตัวที่ Proof ว่ายังมีช่องทางอื่นในการสร้างเหรียญ ยกตัวอย่างตัวล่าสุดที่สนใจคือเหรียญ stablecoin ชื่อ Dai สร้างขึ้นมา 1 Dai โดยใช้เหรียญอื่นมา Backup

ยกตัวอย่างเช่น เราต้องการ 2,000 Dai เท่ากับ 2,000 Dollar เราต้องไปหา Ethereum มูลค่า 2,000 กว่า หรือ 1 Ethereum ราคา 3,300 Dollar เอา Ethereum มาจำนำไว้ เขาก็จะสร้าง Dai ให้ 2,000 เราก็เอาไป ตราบที่ราคา Ethereum ยังสูงกว่า 2,000 เราก็ใช้ Dai ต่อไป ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ราคาของ Ethereum มันต่ำลงกว่าเงินที่เรากู้ไป เขาจะยึด Ethereum ไปขาย เอาเงินมาใช้หนี้ระบบเพื่อไม่ให้เกิดหนี้เสีย กลไกแบบนี้เรารียกว่า Synthetic

กลับมาที่ Metaverse Thailand เองก็จะทำการ Synthetic เหรียญขึ้นมา 1 เหรียญชนิดหนึ่ง โดยที่เหรียญจะอิงกับค่าเงิน Dollar ทำไมถึงไม่อิงจากบาท เพราะกฎหมายไม่ให้ทำ สภาพ Digital Token ของบ้านเรากฎหมายเขียนไว้ชัดเจนเลย จะต้องไม่ตรึงกับบาท

เหรียญไหนที่มีค่าเท่ากับบาทตลอดเวลาจะไม่สามารถทำได้ เพราะแบงก์ชาติจะบอกว่าเป็นเงินมีค่าเหมือนเงินบาท เมื่อประมาณ 6 เดือนที่แล้ว มีคนไปสร้างเหรียญบาทอยู่ใน Network ของ Terra ที่ชื่อว่า THT เขาสร้างให้ 1 THT มีค่าเท่ากับ 1 บาทอยู่ตลอดเวลา

ด้วยการ Synthetic แลกเมื่อไหร่ก็ได้ 1 บาทตลอดเวลา แบงก์ชาติไม่ยอม ออกแถลงการว่า THT เป็นเงินตราตามพ.ร.บ.เงินตรา บังเอิญบริษัทที่ทำขึ้นมาไม่ได้อยู่เมืองไทย แบงก์ชาติจึงใช้ประกาศอีกฉบับหนึ่ง นำพ.ร.บ.ชำระเงิน 2561 บอกว่าผู้ใดที่ใช้ THT เป็น Medium of Payment ถือว่าผิดกฎหมาย

เพราะฉะนั้น Token ของประเทศไทยจะไม่เท่ากับบาท เพราะผิดกฎหมาย ดังนั้นเหรียญ MUSD ของ Metaverse Thailand จะเท่ากับเงิน Dollar การเกิดของ MUSD จะเป็นค่า Synthetic หมายความว่า 1 MUSD จะถูกสร้างขึ้นมาโดยใช้ Stablecoin ตัวหนึ่ง Backup 80% อีก 20% มาจากไหน?

เนื่องจากเราเป็นคนออกแบบเมือง เราสร้าง Ecosystem เราอยากให้ที่เรามีราคา เราจึงสร้างกลไกให้คนที่ซื้อที่ไว้แล้วลงทุน 3 Dollar ให้เอาที่ไป Stake หรือฝาก Metaverse Thailand จะมีฟาร์ม คนมีที่ซื้อแล้วไม่อยากขาย ไม่อยากจำนอง เอามาฝาก ฝากแล้วทุก Box ที่เกิดขึ้นบน Viral Smart Chain เราจะทำการ Reward ให้ 1 เหรียญ

เพราะฉะนั้นใครที่นำที่มาวางไว้ ทุก ๆ 3-4 วินาที คุณจะได้เหรียญ Reward Box ไปเรื่อยๆ Reward Box เมื่อนำไปประกอบกับ Stablecoin ในอัตรา 20% ก็จะสร้างเหรียญ MUSD ขึ้นมา 1 เหรียญ เราเรียกว่าการ Mint เวลาที่เราจะ Mint Stablecoin ของ MUSD ก็ต้องเอา Stablecoin ตัวหนึ่งมา

อาจจะเป็น KUSD บวกกับเหรียญ Reward ที่ได้จากการเอาที่ไปวาง ไม่ได้จำนอง เอาออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ คนที่อยากจะได้ MUSD ก็นำ Reward อันนั้นมาประกอบกับ Stablecoin คล้ายกับแบงก์ชาติ เพราะแบงก์ชาติสร้างเงินบาทด้วยกลไกแบบนี้ ก็จะได้เหรียญใหม่มา 1 เหรียญ เหรียญนี้ชื่อ MUSD จะถูกนำมาใช้งานทั้งหมดใน Metaverse แทน BUSD

ตอนนี้ใช้ BUSD อยู่ค่อยเฟดมันออก เพราะฉะนั้น 1 เหรียญ MUSD ที่ซื้อที่แปลงถัดไปหรือใช้จ่ายบน Metaverse Thailand ก็คือ เหรียญที่เกิดจากการใช้ Stablecoin 80% บวกกับเหรียญ Reward ที่เกิดจากเอาที่ไปวางอีก 20% ดังนั้นการเอาทีไปวางเฉยๆ จะมีผลตอบแทนทันที ก็จะเกิด Echo system

Metaverse Thailand ไม่ได้สร้างเกม เราสร้าง Ecosystem มีระบบ Payment บน Blockchainให้ มี Contact ให้ เปิดร้านขายของได้ นี่คือภาพของ Metaverse Thailand

Q&A

Q: ใครกำหนดอัตราดอกเบี้ยจำนอง และดอกเบี้ยจำนองเท่าไหร่ ?

A: อัตราดอกเบี้ยเป็นความพอใจของผู้จำนองว่าจะให้เท่าไหร่ คนตั้งราคาคือเจ้าของที่ จะให้ 10% 12% หรือ 8% ได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นคนที่เข้ามารับจำนองก็จะเห็นตัวเลขเอง ขึ้นอยู่กับคนจำนอง

 

 

มีคนถามว่า อยากรับชำระเงินด้วย Crypto บ้าง ทำยังไงดี จริงๆ ทุกคนสามารถรับ Bitcoin ได้หมด ซื้อรถ ซื้อคอนโด ซื้อกาแฟ ซื้อได้หมด นี่คือภาพมายา

Blockchain ไม่ได้ออกแบบค่าปกติมาเพื่อ Payment แบบนี้ Blockchain ออกแบบมาไม่ให้เร็ว Transaction ของ Ethereum อยู่ที่หลัก 15 วินาทีสร้าง 1 Block ใส่ได้น้อยมาก แต่ถ้า Smartchain ทำได้หลัก 200-300 Transaction ต่อ 1 วินาที

มีคนทำ Blockchain ให้เร็วได้เป็นคนแรกก็คือ Solana ลองนึกภาพว่า Blcokchain ล่มแล้ว Payment ใช้ไม่ได้ เพราะ Blcokchain ไม่ได้ออกแบบมาให้เร็ว Blockchain ออกแบบมาให้ชัวร์

ที่นี้โจทย์คือการอยากรับชำระด้วย Crypto เราจะเจอปัญหา 2 เรื่องคือ 1 คนกำลังเข้าคิวกินกาแฟ เมื่อลูกค้าจะโอน แคชเชียร์ก็จะรอ โอนเงินเสร็จคนต่อไปถึงจะโอนต่อได้

ถ้าเกิดไปเจอช่วงวิกฤตคือ Blockchain เป็นที่นิยม คนที่ใส่ค่าธรรมเนียมสูงสุดจะได้ไปก่อน ดังนั้น Transaction ที่อั้นอยู่ ถ้ามีคนกระหน่ำทำ Transaction DeFi หรือซื้อที่ Metaverse หรือกำลังขายเหรียญ คนถัดไปจะจ่ายไม่ได้เลย รอนานสุดเกือบ 20 นาที บน Ethereum เคยรอเป็นวันมาแล้ว

เพราะฉะนั้น Payment แบบที่ทุกคนคิด บน Blockchain ทำไม่ได้ อย่างที่ 2 Binance Pay ไม่ได้เป็น Blockchain Payment ทำบน Database หลังบ้าน จะเริ่มเป็น Blockchain ก็ต่อเมื่อเราจ่ายเงินกันไป-มา แล้ว Withdraw เป็นเหรียญ Bridging Chain ถึงจะกลายเป็น Blockchain สามารถทำได้ แต่คน 2 คนจะต้องมี Binance Pay เหมือนกัน ต้องอยู่บน Satellite เดียวกัน ต่าง Chain ไม่ได้ ต่าง Satellite ก็ไม่ได้ ค่านี้ไม่ใช่ค่าที่ควรจะเป็น

โจทย์นี้เป็นโจทย์ที่ทางขอนแก่นพัฒนาเมือง เคยคุยกับเราไว้ เราอยากจะมีเหรียญ 1 เหรียญ แล้วใช้เหรียญเป็น Reward แจกตามที่ดีไซน์ไว้ เหรียญนี้ก็จะนำไปทำส่วนลดตามร้านกาแฟ วิธีนี้จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า Off-Chain Data เข้ามาเป็นตัวสร้าง สมมุติถ้าเหรียญ Reward อาจจะเป็นเรื่องของ Discount

ถ้าเรามองว่าขอนแก่นมี Chain แล้ว ภาพที่เกิดคืออะไร จะมีเจ้าภาพหนึ่งคนคือ ขอนแก่นพัฒนาเมือง สร้างเหรียญขึ้นมา 1 เหรียญ เหรียญนี้จะเท่ากับ 1 บาทได้ แบงก์ชาติไม่ยอม แต่การสร้างเหรียญใหม่ขึ้นมาจะต้องเกิดจากเหรียญที่น่าเชื่อถือได้

ถ้าเราทำจริง ๆ จะมีปัญหาในเชิงอธิบายกับแบงก์ชาติ ถึงแม้ไม่เป็นเงินบาทก็ตาม เพื่อการหลุดพ้นจากเรื่องนี้ เราก็ไป Bridge BUSD มาจาก Binance Smartchain หรือ KUSD เหรียญที่เกิดมาก่อนแล้ว กลต. กับ แบงก์ชาติ จะไม่ค่อยสนใจ

เราสร้างสะพานให้ใครก็ได้สามารถซื้อ USD จาก Binance แล้วก็ Bridge ข้ามมาเป็น KUSD อยู่ใน Chain เราทำไมต้องอยู่ใน Chain เรา ข้อ 1 ค่า Vat Free ต้องถูกมาก ๆ ในการใช้ ข้อ 2 เราจะเป็นเจ้าภาพในการดูแล

กรณีถ้ามีคนเอาเหรียญ KUSD ไปหลอกซื้อ iPhone แล้วมีเด็กเส้นเลือดในสมองแตกเสียชีวิต ขอนแก่นต้องไปเอาเงินกลับจากกระเป๋านั้นทันที ถ้ามีคดีเกิดขึ้น ถ้ามีการฟ้องร้องถึงตำรวจ จะขอการระงับธุรกรรมก่อน

ฉะนั้นถ้า KUSD จะเป็นเจ้าภาพโดยขอนแก่นพัมนาเมือง พอมีเหรียญที่เป็น KUSD ขึ้นมาเหรียญหนึ่ง พอมีเหรียญอยู่บน X Chain เจ้าของเหรียญคือ ขอนแก่นพัฒนาเมือง มีสิทธิ์พิเศษสามารถระงับธุรกรรมคนได้ ถ้ามีข้อผิดพลาดทางกฎหมาย เหรียญทั้งหมดเกิดจากเหรียญ BUSD เท่ากันเสมอ ถ้าฝั่งนี้มี 1ล้านเหรียญ ก็ต้องล็อกอีกฝั่งให้เป็น 1 ล้านเหรียญเท่ากันเสมอ คนสามารถใช้เหรียญไปชำระหรือแลกเปลี่ยนสินค้าได้

แล้วจะใช้กับธุรกรรมเร็ว ๆ ได้อย่างไร เราดีไซน์ไว้แล้ว วิธีนี้เรียกว่า Off-Chain Data ตัวอย่างเช่น รถเมล์รับชำระเป็น KUSD มีบัตรสแกนหรือแอพพลิเคชันสแกน เราจะใช้ค่าดีไซน์แบบ DeFi ในเมื่อคุณจะขึ้นรถในขอนแก่นพัฒนาเมือง

คุณต้องเชื่อในขอนแก่นพัฒนาเมือง คุณจึงต้องทำธุรกรรมในแอพที่เรียกว่า Approve เหรียญ Proof ว่ายอมให้ Smart Contact มาดึงเงินได้ เท่าไหร่เราสามารถลิมิตได้ รถเมล์วิ่ง 1 รอบอาจจะใช้ 1 Dollar เมื่อคุณจะลงจากรถเมล์คุณก็สแกน หลังบ้านจะรู้แล้วว่ากระเป๋านี้ลงรถเมล์ 1 Dollar ไม่ต้องรอธุรกรรมบน Chain

ธุรกรรมบน Chain จะเกิดก็ต่อเมื่อทยอยล้วงเงิน เราเรียกว่า Off-Chain Transaction เรามีสิทธิ์ เหรียญก็เหรียญเรา รถเมล์เราก็ Trust แล้ว ถ้าไปล้วง 1 Dollar ตอนนั้น Chain จะว่าง เพราะฉะนั้นธุรกรรมพวกนี้จะเหมือน DeFi เวลาจะเอาเงินเข้าไปฝากก็ Approve เพราะเชื่อใน Dopple เขาก็จะมาล้วง Dollar ไป 100 แล้วเปลี่ยนเป็น USDT กลับมาให้ 100 ดีไซน์แบบนี้ ทำให้ธุรกรรมที่ต้องการความเร็วสูงเกิดขึ้นได้จริง แล้วก็ระบายเข้าไปใน Chain มีคนทำแล้วคือ Foxclub

เพราะฉะนั้นระบบ Transaction ที่เป็น Off-Chain ความสำคัญอยู่ตรงที่ทำไมต้องเป็น Blockchain หัวใจของ Blockchain คือ Infrastructure

ยกตัวอย่าง จากเดิมที่เราเปิดร้านกาแฟ เรารับ KUSD ใครก็ตามที่ถือเหรียญเราเชื่อว่าเป็นเหรียญจริง เราก็รับ ถ้าเป็น Database เดิมถ้าจะรับต้องไปสมัครกับขอนแก่นพัฒนาเมือง ได้ API ได้ Key มาตัวหนึ่งคนโอนต้องมาถามว่าเงินเข้าหรือยัง ถึงจะเอากาแฟไปได้

แล้ว CBDC ที่จะออกในปีหน้าต่างอะไรกับ QR Payment ของ Promtpay ความแตกต่างคือ ทุกคนโอนได้หมด แต่ไม่รู้ว่าใครโอน อยากรู้ต้องไปสมัคร Payment Gateway ก่อน

คือระบบธนาคารเดิมไม่สามารถบอกได้ว่าใครโอนเงินมาให้เรา CBDC หรือ KUSD มาพร้อมกับ API บน Blockchain คุณจะใช้แอพต่อ QR Code นั่งดูก็ได้ เอา Bot ไปเกาะ Chain ก็ได้ จะทำ Payment Online เปิดเว็บไซต์ขายพระเครื่อง ไม่ต้องต่อ Payment Gateway แล้ว ถ้า CBDC เปิด API ก็ไปเกาะ โอนมาพร้อมกับ Memo ก็สามารถรู้ได้ว่าใครโอน มันเกิดมาพร้อมกับสิ่งที่แบงก์ทำไม่ได้มาตลอด 30 ปี

CBDC ไม่ใช่ QR Payment แบบเจอหน้ากัน มันสามารถทำธุรกรรมที่ไม่เจอหน้าได้ นั่นคือความสำคัญของ Blockchain นี่คือความแตกต่างระหว่าง CBDC กับ QR Payment

สิ่งที่เราจะทำต่อคือ เมื่อเริ่มมีเหรียญ เริ่มมี Usecase ของขอนแก่น เราจะเริ่มเล่าให้ Developer อื่นฟังว่า มันไม่ได้เป็นกระเป๋าของขอนแก่นพัฒนาเมือง แอพอะไรก็แล้วแต่สร้างกระเป๋าได้เอง ไม่ต้องมาลงทะเบียน ขอแค่มีเหรียญที่เราการันตี ก็ใช้ได้เลย

สมมุติคุณอยากซื้ออะไรก็แล้วแต่ คุณซื้อได้เลย แต่เงินยังไม่ออกจากกระเป๋า ให้ใช้ KUSD โอนมา คนส่งของจะรู้ได้เลยว่าเงินโดนล็อกแล้ว 100 สามารถส่งของได้ เพราะเห็นเงินแล้ว แต่เงินยังไม่ได้ พอของมาถึง เราไปคุยกับ Logistic เราเรียกว่า Oracle พอของมาถึง ลูกค้าเซ็นต์รับ เราก็โอนเงินไปให้คนขาย แบบ Real Time ไม่ต้องเจอหน้ากัน คล้าย Shopee, Lazada

ถ้าเราทำแบบนี้บน Chain ต่อให้มีการโกง iPhone ราคา 8,000 บาท พอไม่การันตี ของถูกส่งกลับ เงินก็ไม่ออก ก็จะกลับมาเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นจะต้องเอาเรื่อง w 3 เรื่อง Front End เรื่อง Smart Contact ไปเล่าให้กับ Developer ให้เขาคิด Usecase ว่าอยากทำอะไร

 

Q&A (ช่วงถามและตอบ)

Q: 1. Metaverse Thailand ซื้อขายเฉพาะที่ดิน(เสมือน) หรือไม่ ถ้าจะทำเป็นบ้านก็ได้ ?

  1. NFT บน Ethereum ของ Metaverse Thailand ชื่อ ?

A: Metaverse Thailand อยู่ Binance Smart Chain ถ้าอยากรู้ให้ซื้อ กดซื้อ 3 เหรียญ คุณก็จะได้ NFT 1 ตัว คุณจะรู้แอดเดรสเลย

Q: ที่ดินที่เปิดขายนี้มีจำกัดทั้งหมดกี่บล็อกครับและในอนาคตจะขยาย พื้นที่อีกไหม ?

A: ที่ดินมีทั้งหมด 89,000 บล็อก โซนเอกมัยและทองหล่อมีแผนเปิดเพิ่ม แต่ยังไม่เปิดทันทีต้องดูราคาที่เป็นหลัก

Q: ถ้าเจ้าของที่ดินในโลกจริงๆไม่ยอมให้ขายที่ของเขาในโลก Metaverse จะเกิดอะไรขึ้น

A: เรื่องปัญหาที่ดินจะมีการฟ้องร้องกันรึเปล่า เราได้เช็คแล้วมันเหมือน Google Maps หากเอาชื่อโลเคชั่นของเขาจะโดนแน่นอน แต่ตามกฎไหม่ GO ไม่ได้เป็นของเขา

Q: Metaverse Thailand ขายพื้นที่อ้างอิงจาก map จริงๆในอนาคตเจ้าอื่นสามารถทำ layer ขายที่ทับซ้อนได้ไหมครับ ?

A: ได้ ซึ่ง layer 2 เป็น layer ของตึก และจะมี creator 3D สร้างตึกมาขาย

Q: จากตัวอย่างรถเมล์ ถ้า off chain รับรู้ว่ามีการโดยสารแล้วจากนั้นอีกช่วงเวลาถึงจะไปตัดใน Chain ถ้าจังหวะนั้น KUSD ไม่พอให้ตัดจะเป็นการใช้เกินวงเงินแบบไหน ?

A: กรณีนี้เกิดขึ้นได้ การตัดเงินจะตัดก็ต่อเมื่อมีวงเงินอยู่ จึงมีการให้ยืมก่อน มีเหรียญ 1 เหรียญชื่อ iron มีราคาขึ้นลงได้ วิธีสร้าง iron 1 iron ต้องใช้ USDC 80% ไปซื้อไตตันอีก 20% นำมา mint กันจะได้ 1 iron

การสร้างราคาไตตันสูงๆ เอามา mint แล้วทุบราคาลงเพื่อ Redeem จะได้ไตตันกลับมาเยอะ เรียกว่า loop นรก ตอนนี้มี KUSD ในตลาด mint อยู่ประมาณ 4 ล้าน USD ตามสภาพใช้งานของตลาด

Stable coin มีที่มา 3 แบบ แบบที่1 คือ ใช้เงินจริง ซึ่งดูแลยาก เพราะมีมูลค่าที่ต้องตรวจสอบ แบบที่2 ใช้สินทรัพย์อื่นมาค้ำประกัน แบบที่3 algorithmic stable coin สร้างจากสมการ เอา stable coin ส่วนหนึ่ง ที่เหลือเป็นเหรียญที่มีราคาวิ่งขึ้นวิ่งลงแล้วปรับเรโชอัตโนมัติ

ช่วง KSUD เปิดตัวใหม่ก็ได้มีอะไรมาก แต่ตอนที่เปิดตัว synthetic access มีประเด็น เพราะตลาดคริปโตร่วงถึง 30-40% ประกอบกับคนที่เข้ามาเกร็งกำไรราคาเหรียญ ทำให้ราคาเหรียญหล่นลงมาถึง 90%

จะมีการขยาย stable coin ในทุกๆ chain ภายใต้ algorithm ใหม่ที่แข็งแรงกว้าเดิมซึ่งจะได้เห็นในปีหน้า ซึ่งจะเป็น 1 ใน stable coin ที่ innovate โลก synthetic

Q: Metaverse Thailand จะมีการระดมทุนหรือ VC เพิ่มอีกไหมและเมื่อไหร่ ?

A: ไม่มี vc

Q: Metaverse Thailand สามารถเอารูปมาติดเป็นเจ้าของที่เหมือน sandbox ไหม ?

A: ได้แน่นอน แต่ในอนาคตจะต้องโพสต์ใน facebook ก่อนแล้วเอา URL มาวาง ต้องเป็นรูปที่สุภาพ อยากจะมีแพลตฟอร์มของขอนแก่น ที่เป็น real use-case ขอนแก่น พัฒนาเมือง ต้องการสร้าง Ecosystem เกี่ยวกับ blockchain อย่างจริงจังในประเทศให้ได้

แสดงความคิดเห็น