ชาวห้วยแถลงโคราช เดินขบวนบุก รังวัดแนวเขตทวงคืนที่สาธารณะโบราณสถานโคกปราสาทอายุพันปี
เมื่อเวลา 09.00น .วันที่ 7 กุมภาพันธ์ ที่บริเวณหน้าองค์การบริหารส่วนตำบล ( อบต.) หลุ่งตะเคียน อ.ห้วยแถลง นครราชสีมา พันโทพิษณุ ประจิตร ประธานองค์การสืบสวนการทุจริต (FIO) ภาค 3 พร้อมนางนลิน โรจนวัทธิกร รองประธาน FIO ภาค 3 ดร.พาศิกา สุวจันทร์ นายกสมาคมปกป้องพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย พันโทวิรัญ ทองแก้ว ผู้จัดการสมาคมปกป้องพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยสาขาอุบลราชธานี นำตัวแทนชาวบ้านกว่า 40 คน ถือป้ายข้อความ “ ทวงคืนสมบัติชาติ ปราสาทบ้านหลุ่งตะเคียน ” เพื่อแสดงสัญลักษณ์ ได้รับความสนใจจากประชาชนที่สัญจรที่ผ่านไปมา
จากนั้นได้เดินทางมาที่มารวมตัวกันที่พักสงฆ์วัดโคกปราสาท ฯ เพื่อยื่นหนังสือให้นายละมุน ยังพิมาย รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หลุ่งตะเคียน เป็นตัวแทนชาวบ้านแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัด แก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐฯ รวมทั้งขอให้เจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาจักราช ดำเนินการรังวัดตรวจสอบที่ดินรวมทั้งสอบสวนที่มาที่ไปของการออกเอกสารแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (สค.1) ที่ดินโบราณสถานปราสาทหลุ่งตะเคียน ซึ่งเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เพื่อให้ทราบแนวเขตที่แน่ชัดและเป็นหลักฐาน นำไปเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาตามกระบวนการของกฎหมาย โดยมีนางสม ดอนสว่าง อายุ 64 ปี เจ้าของผู้ครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) และทนายความเข้าร่วมยืนยันสิทธิ์การครอบครอง ท่ามกลางบรรยากาศค่อนข้างตึงเครียดมีการโต้เถียงกันเล็กน้อย มีปลัดอำเภอ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่อาสาสมัครรักษาดินแดน เข้าร่วมสังเกตการณ์และป้องกันมิให้เกิดเหตุความวุ่นวาย
พันโทพิษณุ ฯ ประธานองค์การสืบสวนการทุจริต (FIO) ภาค 3 เปิดเผยว่า FIO และกรรมการทุกคน ได้ช่วยเหลือชาวตำบลหลุ่งตะเคียน เพื่อปกป้องสมบัติของของชาติแทนคนไทยทั่วประเทศ ซึ่งเป็นโบราณสถานปราสาทหลุ่งตะเคียน อันเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ขอยืนยันว่าที่ดินโบราณสถานปราสาทหลุ่งตะเคียน เป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 8 วรรคสอง โดยยังไม่มีการถอนสภาพตามมาตรา 8 (1) จึงยังไม่มีการขึ้นทะเบียน ตามมาตรา 8 ทวิ และตามพระราชบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (2) ซึ่งเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ตั้งแต่ก่อนใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้าม ที่ดินรกร้างว่างเปล่าฯ พ.ศ. 2478 ไม่ต้องออกพระราชกฤษฎีกาหวงห้ามหรือสงวนแต่ประการใด ทางราชการจะประกาศขึ้น ทะเบียนเป็นสาธารณประโยชน์หรือไม่ ไม่สำคัญ โดยการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เป็นไปตามสภาพของการใช้ร่วมกันของประชาชน ซึ่งไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องขึ้นทะเบียนเป็นสาธารณประโยชน์ดังเช่นในกรณีของที่ดินรกร้างว่างเปล่าตาม มาตรา 1304 (1) และพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินฯ แต่อย่างตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2524/2543, ฎีกาที่ 2132/2523, ฎีกาที่ 9832/2522, ฎีกาที่ 100/2515,ฎีกาที่ 592/2513, ฎีกาที่ 281/2506, ฎีกาที่ 492/2502, ฎีกาที่ 952/2508 และฎีกาที่ 1044/2497 ขณะนี้องค์การสืบสวนการทุจริต (FIO) โดยนางนลิน โรจนวัทธิกร รองประธาน FIO ภาค 3 เป็นตัวแทนชาวบ้าน ฟ้องศาลปกครอง กรณีที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาซาจักราช ออกมาทำการรังวัดออกโฉนดที่ดิน โดยผู้ยื่นขออ้างสิทธิครอบครอง ส.ค.1 เนื่องจากสำนักงานที่ดินฯ ไม่ดำเนินการ ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2551 มาตรา 8 แต่อ้างว่าดำเนินการตามหนังสือของอธิบดีกรมที่ดิน ด่วนที่สุด ที่ มท 0516.2 (1)/ว 14789 ลงวันที่ 30 พฤษภาคม เชื่อว่ามิชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากคำสั่งของอธิบดีมีลำดับศักดิ์ของกฎหมายที่ต่ำกว่าพระราชบัญญัติ ดังนั้นคำสั่งที่ขัดกับพระราชบัญญัติ จึงเป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งแบบแจ้งการครอบครอง (ส ค 1) มิใช่เอกสารราชการตามที่ข้าราชการและนักการเมืองจำนวนมากเข้าใจผิด โดยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 890/2509 ได้วินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานว่า หนังสือแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) จึงไม่ใช่เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ
ด้านนางสม ฯ เผยว่า ขอยืนยันด้วยเอกสารหลักฐาน ที่ดินแห่งนี้ ครอบครัวของอยู่อาศัยมาตั้งแต่รุ่นของบิดามารดา และตนก็เกิดและเติบโตอยู่บนผืนดินดังกล่าวมาโดยตลอด โดยที่ดินนี้ได้รับการส่งมอบการครอบครองมาโดยถูกต้อง จากบุคคลผู้มีชื่อเป็นผู้แจ้งการครอบครองที่ดิน และครอบครองต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันโดยไม่เคยขาดสาย ต่อมากรมศิลปากร ได้ออกประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถานและกำหนดเขตพื้นที่โบราณสถาน เมื่อปี 2537 ครอบทับที่ดินของตน โดยมิได้ดำเนินการตามกฎหมายด้วยการแจ้งเป็นหนังสือให้ตนใช้สิทธิโต้แย้งคัดค้านเสียก่อน ซึ่งขณะนี้ข้าพเจ้าใช้สิทธิทางศาลปกครอง ฟ้องเพิกถอนกฎดังกล่าวและคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยอาศัยกฎหมายดังกล่าวด้วยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล แต่กลับถูกกลุ่มบุคคลที่ไม่พอใจตนและครอบครัว รวมตัวกันกล่าวหาว่า บุกรุกโบราณสถาน กลั่นแกล้ง ทั้งในทางสื่อโซเชียลมีเดีย และต่อหน่วยงานราชการต่าง ๆ ที่ผ่านมาสังคมภายนอกที่ไม่ทราบข้อเท็จจริง เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน ขอยืนยันการครอบครองสิทธิ์เป็นไปตามกฎหมายบ้านเมืองทุกประการ
นครราชสีมา/เกษม ชนาธินาถ 086 6486006
แสดงความคิดเห็น