อาจารย์ มข. ชี้การไล่หมอพรทิพย์คือการแสดงออกทางเมือง

กรณีที่มีชายคนหนึ่งขับไล่แพทย์หญิงพรทิพย์ออกจากร้านอาหารในไอซ์แลนด์   ถือได้ว่าเป็นการแสดงออกทางการเมืองอย่างหนึ่งต่อบุคคลสาธารณะซึ่งเป็น สว. ซึ่งประชาชนทั่วไปมีสิทธิแสดงออกทางการเมืองทั้งในแง่ที่ชอบคือให้การสนับสนุน  หรือไม่เห็นชอบคือไม่สนับสนุนกับบุคคลสาธารณะเช่นนี้ได้

แต่การที่เขาแสดงออกมาด้วยความโกรธแค้น  เนื่องจากเขาคงไม่มีทางออกอย่างอื่นในการระบายความอัดอั้นตันใจ  หรือไม่รู้ว่าจะสื่อสารกับบรรดา สว.ได้อย่างไร เพื่อให้รู้ถึงความต้องการของเขา    เมื่อไม่มีทางออกเขาจึงได้แสดงออกมาเช่นนั้น

สาเหตุที่มาของเรื่อง  ก็คงมาจากการที่ บรรดา สว.ส่วนใหญ่ไม่ยอมยกมือโหวตให้กับพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง หรือได้เสียงข้างมากเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล  สว.จึงถูกกล่าวหาจากประชาชนว่า เป็นทาสรับใช้เผด็จการ  เป็นเรื่องการต่างตอบแทนให้กับผู้ที่แต่งตั้งตนขึ้นมา ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองอย่างที่กล่าวอ้างกัน   สว.ยังถูกข้อกล่าวหาว่าเป็นตัวการขัดขวางกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยไทย   สว.ส่วนใหญ่จึงตกเป็นจำเลยและเป็นผู้ร้ายของสังคม  รวมทั้งมีภาพลักษณ์ในทางลบในสายตาประชาชนส่วนใหญ่  แต่ไม่ทราบว่า สว.ส่วนใหญ่จะรู้ตัวหรือไม่

ประเด็นจึงไม่ใช่เป็นปัญหาการขัดแย้งของคนในชาติ  หรือเป็นเรื่องการคลั่งการเมืองมากเกินไปดังที่ สว.หลายคนได้ออกมาพูดและพยายามบิดเบือน  แต่เป็นประเด็นในเรื่องที่ประชาชนสงสัยและไม่ยอมรับพฤติกรรมของ สว.ว่า  ทำไมจึงไม่ยอมทำตามฉันทามติของประชาชนที่เป็นไปตามหลักการของประชาธิปไตย คือสว.ต้องฟังเสียงความต้องการของประชาชน  ขณะที่ สว.กินเงินเดือนแสนแพงที่มาจากภาษีของประชาชน   และสิ่งนี้เองที่ทำให้คนโกรธแค้นเป็นอย่างมาก

ที่จริงแล้วก็มีกรณีในประเทศประชาธิปไตย  หากนักการเมืองทำอะไรที่ฝืนกระแสความต้องการของประชาชน  พวกเขาเคยโดนจับใส่ถัง ถูกโดนโห่ โดนไล่ ถูกปาด้วยไข่  ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ  เพราะนักการเมืองเหล่านี้อาสาเข้ามาเอง และพวกเขาอยู่ได้ก็เพราะการอาศัยภาษีราษฎรเป็นเงินเดือน จึงต้องสามารถถูกตรวจสอบหรือถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ และต้องพร้อมที่จะยอมรับสถานการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้น หากพวกเขาไม่ฟังเสียงเรียกร้องถึงความต้องการของประชาชน

ความจริงแล้ว การมีประชาชนที่สนใจการเมืองและมีความตื่นตัวทางการเมืองเป็นเรื่องที่ดี  ในทางวิชาการเรียกว่ามี “ความเป็นพลเมือง”  และในวิชาการสาขาสังคมวิทยาการเมืองก็พยายามสนับสนุนให้เกิดกลุ่มคนจำพวกนี้ให้มากขึ้น   นั่นหมายความว่า บ้านเมืองจะมีคนคอยช่วยดูแล ดีกว่ามีประชาชนที่เฉยเมยทางการเมือง  ประการสำคัญคือทำให้ประชาธิปไตยเดินหน้าไปได้  เนื่องจากการพัฒนาประชาธิปไตยให้ได้นั้น  ต้องทำให้ประชาชนได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมืองด้วย หรือที่เรียกว่า “inclusive politics”

การที่คนออกมาไล่เขาพูดว่า “เขารับไม่ได้กับคนแบบนี้ในสิ่งที่ทำกับประเทศไทย”  แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า  เขายังมีความรักในมาตุภูมิของตนเอง  และเขามีความรู้สึกหวงแหนแผ่นดินเกิดของเขา  แม้ว่าเขาจะอยู่ห่างไกลในต่างประเทศก็ตาม  ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม  ปัญหาคือ สว.ทั้งหลายเข้าใจกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยดีพอหรือไม่  เข้าใจหรือไม่ว่าประชาธิปไตยอำนาจอยู่ที่ประชาชน   สำหรับ สว.ทั้งหลายที่ยังยึดติดอยู่กับกรอบความคิดแบบอนุรักษ์นิยมที่ฝังติดอยู่ในหัว  ควรพร้อมที่จะเปิดใจกว้างรับฟังความคิดเห็นใหม่ ๆของประชาชนโดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่  อย่ามัวแต่เกรงใจผู้ที่แต่งตั้งตนขึ้นมา จนทำให้หลักการประชาธิปไตยของไทยเดินหน้าไปไม่ได้

แสดงความคิดเห็น