“ป.เอก” ฟ้องศาลปกครอง อ.ที่ปรึกษาส่อฉ้อโกงทุน? “คณบดี” ไม่ให้ความเป็นธรรม

นศ.ปริญญาเอก ร้อง “อีสานบิซ” อ.ที่ปรึกษามีพฤติกรรมส่อไปในทาง “ฉ้อโกง” เงินทุน บีบลงทะเบียนเรียนวิชาของตน จนต้องเปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษา แถมถูกเจ้าหน้าที่การเงินยื้อเบิกจ่ายอย่างไม่ชอบมาพากล ขณะเดียวกัน “คณบดี” ก็ไม่ให้ความเป็นธรรม จนต้องฟ้องศาลปกครอง ด้าน อ.ที่ปรึกษาโต้ “ผมไม่ได้ผิด ผมไม่ได้โกง” ส่วน “คณบดี” แจงเบิกเงินล่าช้าเป็นไปตามขั้นตอน

สืบเนื่องจาก ธัมม์โชโต ประจักษ์สูตร์ นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ร้องเรียนกับ “อีสานบิซ” ว่าถูกกระทำอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม

โดย ธัมม์โชโต อ้างว่า เรื่องทั้งหมด ตนได้ฟ้องต่อศาลปกครองขอนแก่นไปแล้ว ซึ่งศาลรับเป็นคดีหมายเลขดำที่ 87/2562 ทั้งนี้ชื่อบุคคลผู้ถูกฟ้อง มีใคร ตำแหน่งอะไรบ้าง อยู่ในคำฟ้องต่อศาลเรียบร้อย

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าสนใจในเรื่องนี้ มีอยู่ 3 เรื่องด้วยกัน เรื่องแรก พฤติธรรมอาจารย์ที่ปรึกษา ที่มีเงื่อนงำส่อว่าฉ้อโกงเงินทุนการศึกษา เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ เรื่องที่สอง พฤติกรรมของคณบดี ที่เป็นผู้บังคับบัญชาของผู้ที่ส่อว่าจะทำผิด ใช้หลักธรรมาภิบาลอย่างเพียงพอในการแก้ปัญหาหรือไม่ และเรื่องที่สาม มีขบวนการช่วยเหลือคนผิดจริงหรือไม่

ทั้งหมดยังถือว่า อยู่ในเครื่องหมายคำถาม? จนกว่าศาลปกครองจะตัดสินออกมาว่า “ผิด-ถูก” อย่างไร

สำหรับ เรื่องราวที่ผู้ฟ้อง ร้องต่ออีสานบิซ ได้รับคำบอกเล่าว่า เริ่มจากตนเปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษา เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2560 เนื่องจากมีทัศนคติไม่ตรงกัน และมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้ทุนการศึกษา

“ผมเป็นอาจารย์เวลามาเรียนก็จะได้รับทุน เพื่อสนับสนุนการวิจัยเทอมละ 8 หมื่น เป็นเวลา 6 เทอม ก็จะเป็นเงินจำนวน 680,000 บาท แต่ในระหว่างที่อยู่กับอาจารย์ 2 ปี ก็ได้ 320,000 บาท มีหลายเรื่องที่ไม่ตรงไปตรงมาในเรื่องเงินทุน เช่น เอาเงินไปใช้ในการส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อคอมพิวเตอร์ ติดตั้งผ้าม่านห้องวิจัย หรือติดตั้งห้องกระจก หรือแม้แต่สอบหัวข้อและโครงการวิทยานิพนธ์ ซึ่งทางคณะจะมีเงินสนับสนุนเงินทุนมาจำนวน 4 หมื่นบาท อาจารย์ก็พูดตรงๆเลยว่า ผมขอใช้เงินจำนวนนี้ ตอนแรกผมก็ถามว่าจะเอาเงินจำนวนนี้ไปใช้ในการไหน อาจารย์ก็พูดตรงๆเลยว่า ขอใช้เพื่อการเดินทางของตัวอาจารย์ ในการนำเสนอผลงานวิจัยบ้าง ซึ่งผมก็ลำบากใจที่จะปฏิเสธแต่มันปฏิเสธไม่ได้ครับ ซึ่งที่ผ่านมาผมก็ไม่อยากให้มีอะไร ยอมได้ก็จะยอม”

นอกจากนั้น ธัมธ์โชโต กล่าวว่า ยังมีกรณี นักศึกษาปริญญาเอกเข้ามาหนึ่งคน และอาจารย์ก็ขอคุยกับตนทางโทรศัพท์อีกว่า ขอใช้เงินทุนตนเพื่อสนับสนุนน้องคนนี้ด้วย ซึ่งงานวิจัยของตนและของน้องก็ไม่ได้สัมพันธ์กัน อีกอย่าง ตนกับน้องก็ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ตนเลยปฏิเสธที่จะช่วยเพราะเงินทุนจำนวนนี้ ยังต้องใช้ในงานวิจัยอีกหลายอย่าง ทั้งงานวิจัยภาคสนาม และ งานวิจัยที่ต้องไปต่างประเทศ

“ท่านอาจารย์ก็บอกว่า ก็ได้ แล้วแต่คุณเพราะเป็นเงินของคุณ จากนั้นก็วางสายไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ หรือแม้แต่ขอเงินทุนนักศึกษาปริญญาเอก เพื่อใช้เป็นกองทุนในการดูแลนักศึกษาบัณฑิตศึกษาซึ่งมันก็ไม่ตรงกัน และก็มีหลายๆประเด็นที่ยังซ่อนเร้นอีกมากมาย”

รวมถึง กรณีอาจารย์คนดังกล่าว เปิดรายวิชา Quality engineering ระดับปริญญาโท หลังจากที่เปิดทำการสอน ช่วงระยะหนึ่ง ไม่มีนักศึกษามาลงทะเบียน อาจารย์ก็ยังให้นักศึกษาปริญญาเอก มาลงทะเบียนในรายวิชานี้ ซึ่งนักศึกษาปริญญาเอก 3 คนที่ยังไม่จบและตนอีก 1 คน ก็ถูกบังคับให้มาลง แต่เทอมที่ไม่ลง ตนแจ้งว่า ติดภารกิจ ต้องเรียนภาษาอังกฤษและเข้าโรงงานเพื่อทำการทดลอง จึงไม่ได้ลงทะเบียนและกลายเป็นชนวนความขัดแย้งรุนแรงขั้นแตกหัก และขอเปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษาในที่สุด

แต่เรื่องก็ไม่จบแค่นั้น เมื่อตนทำเรื่องขอเปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษาและต้องให้อาจารย์ที่ปรึกษาคนเก่าลงนาม พออาจารย์เห็นตนก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะตอนนั้นอยู่ในที่ไม่เหมาะ แต่หลังจากนั้น 5 นาทีก็โทรศัพท์มาคุยเรื่องเงินทุนที่ต้องคืน ตนว่าจำนวนเท่าไหร่ ตนมีเอกสารครบมีใบเสร็จว่าใช้ไปเท่าไหร่เหลือเท่าไหร่ เดี๋ยวจะนำไปให้อาจารย์ จากนั้นอาจารย์ก็ให้ไปพบที่ห้องทำงาน ตนก็นำเอกสารทั้งหมดไป

พอเข้าไปในห้องทำงาน มันเป็นห้องส่วนตัว เขาชี้หน้าตนแล้วมองตนตั้งแต่หัวจรดเท้า กัดฟันกร๊อด ก่อนพูดว่า “ผมประทับใจในตัวคุณมากนะ” พร้อมกับชี้หน้า ตนเลยบอกอาจารย์ท่านว่า “ผมต่างหากที่จะได้รับคำขอโทษจากปากอาจารย์ อาจารย์ไม่ควรมาปฏิบัติกับผมเช่นนี้ ที่ผ่านมาผมอ่อนน้อมถ่อมตนมาตลอด ถ้าอาจารย์จะมาปฏิบัติกับผมแบบนี้ ชี้หน้าผมแบบนี้ ผมขอไม่คุย”

 

เขาชี้หน้าผมแล้วมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า กัดฟันกร๊อด ก่อนพูดว่า “ผมประทับใจในตัวคุณมากนะ” พร้อมกับชี้หน้าผม

 

แล้วตนก็เดินออกมา อาจารย์ก็เรียก แล้วบอกว่าขอคุยก่อน ตนถามว่าจะคุยเรื่องอะไร อาจารย์ก็บอกว่าเรื่องเงินทุน ตนบอกว่าอาจารย์ดูที่บรรทัดสุดท้ายขวามือนั่นคือยอดที่อาจารย์จะต้องคืนมาทั้งหมด แต่อาจารย์บอกว่า “ยอดของผมไม่ตรงกันนะ” ตนบอกว่า “ผมไม่รับทราบนะครับ เพราะเอกสาร หลักฐาน ใบเสร็จผมมีทุกอย่าง ถ้าอาจารย์ยอดไม่ตรงอาจารย์ก็ชี้แจงผมมาแค่นั้นเอง” ตอนแรกตนไม่อยากจะเอาเรื่อง แต่รู้สึกว่า เรื่องนี้ตนควรจะได้รับคำขอโทษมากกว่า

หลังจากนั้น 2-3 เดือน ระหว่างที่มีปัญหาเขาให้ข้อความเท็จในที่ประชุมภาควิชา โยกย้ายเงินทุนของตนไปสู่ที่ต่างๆ ทำให้ตนใช้เงินลำบาก ตนเลยตัดสินใจคุยอีกรอบ ถามว่า “อาจารย์ต้องการอะไร” ไม่เช่นนั้นตนจะเอาเอกสารทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เขาเลยขอนัดคุยต่อหน้าหัวหน้าภาควิชา ในระหว่างที่คุย เขาก็ทำเอกสารมาเล่มหนึ่งว่าจะขอยุติเรื่องราวต่างๆ

“ผมเลยบอกว่า ผมยังไม่เซ็น ผมขอคุยก่อน ในระหว่างคุยเขาก็ยังโกหกว่า ผมไม่ได้เอา ผมไม่ได้ทำอย่างที่คุณว่า ผมเลยบอกว่า ถ้าอาจารย์ยังโกหกแบบนี้ เอาไปคุยในชั้นศาลดีกว่า เขาเลยยอม ผมเลยบอกว่า ถ้าอาจารย์คิดว่าอาจารย์ผิดก็ให้อาจารย์ขอโทษผม เขาบอกว่ายินดีที่จะขอโทษ ผมเลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นขอนัดวันคุยกับคณบดีเพื่อเข้าพบและขอโทษผมต่อหน้าคณบดี และผมขอพาอาจารย์ที่ปรึกษาท่านใหม่ของผมเข้าไปด้วย”

จากนั้นวันที่ 25 กันยายน 2560 วันนั้นเป็นครั้งที่สามที่ตนได้เข้าพบคณบดี สองครั้งที่ตนเข้าไปพบคณบดีมีท่าทีว่า เห็นใจ เป็นห่วงและพยายามจะช่วยเหลือ แต่ในวันนั้นคณบดีพูดในทำนอง ยกย่องอาจารย์ที่ปรึกษา ว่าตนโชคดีแค่ไหนที่มีอาจารย์เป็นที่ปรึกษา อาจารย์ที่ปรึกษาดีแบบนั้น แบบนี้ ซึ่งคณบดีต่างจากที่ตนเคยเข้าพบก่อนหน้านี้ ท่าทีคณบดีเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แล้วคณบดีก็พูดปิดท้ายว่า

“ถ้าจบก็ดีแล้วละ คุณก็ขอโทษอาจารย์คุณซะ เรื่องที่ผ่านมาก็ให้จบด้วยดี คนเป็นพ่อเป็นแม่ทำผิด ยังขอโทษได้เลย เพราะฉะนั้นคุณก็ขอโทษอาจารย์คุณซะ เรื่องนี้จะได้จบๆกันไป” ตนจึงเรียนคณบดีว่า ที่ผ่านมาตนเป็นฝ่ายถูกกระทำ ตนโดนเอารัดเอาเปรียบ โดนกลั่นแกล้ง เรื่องนี้ตนขออนุญาตไม่ขอโทษอาจารย์ ดูเหมือนคณบดีมีท่าทีหงุดหงิดโมโหมาก กลัวว่าตัวเองจะเสียหน้าที่บังคับตนไม่ได้

แล้วคณบดีก็เอ่ยว่า “คุณเป็นใคร ทำไมคุณจะขอโทษคนอื่นไม่ได้ ถ้าคุณขอโทษคนไม่เป็น คุณไปลาออกเลย เพราะยังไงคุณก็เรียนไม่จบหรอก ผมเลยบอกว่า ถ้าอาจารย์ต้องการแบบนี้ผมจะลาออกให้” แล้วผมก็ลุกขึ้นจะเดินออกไปจากห้อง แต่กระนั้น ก็ยังถูกเรียกกลับมาด่า

ตอนนั้นตนก็ตั้งใจจะลาออก เพียงแต่อาจารย์ที่ปรึกษาคนใหม่ โทรมาหาตน และนัดคุยกัน ซึ่งอาจารย์บอกว่า การที่จะเรียนจบหรือไม่จบ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปากคณบดี มันขึ้นอยู่กับตัวเอง และขึ้นอยู่กับอาจารย์ที่ปรึกษาคนใหม่ จึงไม่ลาออก

เท่านั้นไม่พอ ยังมีกรณี การเปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษาเงินทุนก็ต้องโอนย้ายจากอาจารย์ที่ปรึกษาคนเก่ามาไว้กับคนกลาง คือหัวหน้าฝ่ายบัณฑิตศึกษาของคณะ…ซึ่งต้องดูแลเงินจำนวน 250,000 บาท ที่คงเหลือ และหากมีความจำเป็นต้องใช้ในการวิจัยก็สามารถมาเบิกตรงนี้ได้ หลังจากตนไปทำวิจัยที่โรงงานบางกอกพัฒนามอเตอร์ เรื่องยา จบงาน มาเบิกเงินงวดแรก 5 หมื่นบาทก็ไม่มีปัญหาอะไร

แต่ทว่าเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2561 ตนนำใบตอบรับจาก มหาวิทยาลัย NORTH DAKATA STATE UNIVERSITY ให้ทำงานวิจัยร่วมกัน ตนจึงไปแจ้งความประสงค์จะใช้เงินที่คงเหลืออยู่ประมาณ 2 แสนบาท กับคนที่ดูแล เขาก็รับปากว่า จะเช็คให้ว่า เบิกได้หรือไม่ ผ่านไปสองสัปดาห์ บอกว่าผ่านแล้วแต่ขอเวลา 1 สัปดาห์ โดยอ้างว่าติดราชการ

แต่หลังจากนั้นพอครบกำหนดก็ยังไม่ได้รับการติดต่อ แม้เข้าไปพบอีกครั้งก็ยังได้รับคำตอบเช่นเดิมว่า ยังไม่ว่างจัดการให้ ซึ่งเป็นเช่นนี้อยู่ 6 ครั้ง ซึ่งตนจะต้องเดินทางไปต่างประเทศในวันที่ 28 มิถุนายน 2561 สุดท้ายก็ไม่มีเงินเข้ามา

และผ่านไปครึ่งเดือน ขณะอยู่ที่มหาวิทยาลัย NORTH DAKATA STATE UNIVERSITY แล้ว ตนให้พี่อีกคนช่วยติดต่อประสานงานให้ ก็ยังได้คำตอบว่าจะโอนเงินให้แต่ถึงเวลาก็ไม่มีเงินเข้า จนผ่านไปเป็นเดือนและขอเลื่อนแบบนี้ประมาณ 7-8 ครั้ง

ตนรู้สึกว่า มันมีอะไรซ่อนเร้นอยู่ จึงตัดสินใจถามเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวตามตรง เขาก็ให้คำตอบว่า “ไม่สามารถโอนเงินให้ได้จริงๆ” ตนเลยบอกว่า “ถ้าเช่นนั้น พี่ไม่ต้องโอนมาแล้ว แล้วผมจะดำเนินคดีกับพี่ให้ถึงที่สุด” หลังจากนั้นเขาก็หาเงินมาให้ และตนก็ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวจนครบ แต่ว่าไม่ได้รับการอธิบายใดๆ แม้ว่าตนจะได้รับเงินจำนวนดังกล่าวครบ แต่ตนยังไม่ได้รับคำชี้แจง และคำขอโทษจากเขาเลย

ด้วยเหตุนี้ เมื่อกลับจากอเมริกา (2 พฤศจิกายน 2561) ตนจึงเข้าพบคนที่ดูแลเงินอีกครั้ง ซึ่งเขาก็ขอโทษ โดยตนขอจากเขา 3 ข้อ 1. เขียนหนังสือราชการแล้วขอทางตนอย่างเป็นทางการผ่านสาขาวิชา  2. ติดที่บอร์ดของประชาสัมพันธ์ภาควิชา 3.ขอโทษหน้าเฟซบุ๊คของตนด้วย เขาก็รับปาก และจะจัดการภายใน 2 อาทิตย์ ตนก็ยอม

แต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามสัญญา ยิ่งกว่านั้น ยังมีโทรศัพท์จากเลขาฯคณบดีแจ้งว่าให้เข้าพบ เรื่องที่ตนให้คนดูแลเงินขอโทษ ตนจึงเข้าพบคณบดี แต่ครั้งนี้คณบดีคุยต่างจากครั้งก่อน คือคุยด้วยดีมีท่าทีเข้าใจตน แล้วคณบดีก็บอกว่า จะให้ความเป็นธรรมกับตน

แต่หลังจากนั้นไม่มีอะไรคืบหน้า ตนก็เลยทำหนังสือฉบับหนึ่งขึ้นมา ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 เพื่อร้องเรียนให้ดำเนินการเอาผิดทางวินัย กับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเงิน หลังจากนั้นทางคณะก็มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริง ซึ่งตนก็ได้รับแจ้งว่าภายใน 90 วันจะทราบผลพิจารณา แต่หลังจากที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2561 ตนก็ยังไม่ได้รับคำตอบว่าผลพิจารณาเป็นอย่างไร จึงได้ทำหนังสือขึ้นมาอีกฉบับหนึ่ง เพื่อขอทราบผลพิจารณาอีกครั้ง พร้อมเอกสารทั้งหมดในวันที่ 15 เมษายน 2561 แต่ก็ยังไม่ได้รับการแจ้งผล ยังถูกเพิกเฉยเหมือนเดิม

จากนั้นวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 ตนเลยร่างหนังสือขึ้นมาอีกฉบับหนึ่ง เพื่อขอให้ทางคณะแจ้งผลสอบสวนทางวินัย โดยระบุหากไม่ทราบผล จะดำเนินการตามกฎหมายด้วย

ครั้งนี้ ตนได้รับการติดต่อกลับมาจากเลขาฯคณบดีให้เข้าพบ แต่การเข้าพบกลับกลายเป็นการชี้หน้าต่อว่า แทนที่จะมีการพูดคุยกันแต่โดยดี

คณบดี อ้างเป็นสิทธิของเขาที่จะบอกหรือไม่บอกใครก็ได้ ถึงผลการสอบสวน ทั้งยังหาว่าตนมีท่าทีก้าวร้าว พร้อมกับไล่ให้ออกไป

ตนเลยบอกว่า “ถ้าอาจารย์อยากให้ออกไป ก็ได้ แต่เจอกันที่ศาลแล้วกัน”  นี่คือ ที่มาของ การนำเรื่องฟ้องต่อศาลปกครอง

อีกด้านหนึ่ง ธัมธ์โชโต ก็ได้ทำหนังสืออีกฉบับเพื่อส่งไปถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัย เพื่อขอสำเนาผลการสอบสวนหาข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว เพื่อใช้ประกอบการยื่นฟ้องศาลปกครอง ซึ่งทางเลขาฯก็ได้นัดหมายแล้วบอกว่า เรื่องนี้ท่านอธิการบดี มอบหมายให้ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการพิเศษ เป็นผู้ดูแลแทน

“ท่านรับปากว่าจะให้ความเป็นธรรมกับเรา ทั้งยังพูดว่าความผิดของคณบดี ไม่ใช่แค่เรื่องจรรยาบรรณ มันเป็นความผิดทางวินัยขั้นรุนแรง” ตนได้ยินดังนั้นก็สบายใจ

“แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ค่อยสบายใจ คือผมทราบมาว่า ในมหาวิทยาลัยนี้มีขบวนการหรือกลุ่มคน ที่ดำเนินการทางด้านคดี ไม่ว่าจะเป็นการฟ้องร้องต่างๆ เช่น คนไม่สบายใจเรื่องการขึ้นเงินเดือน เรื่องการเอารัดเอาเปรียบ จะมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาสอบถามว่าเป็นอย่างไร ขอทราบลายละเอียด และจะดำเนินการให้ แล้วขอส่วนแบ่งเปอร์เซ็นต์จากผู้ถูกร้องเรียน ผมกลัวกรณีของผมเป็นเช่นนั้น เพื่อให้เรื่องมันยุติลง… ผมกังวลใจว่าต่อไปเรื่องจะเงียบไป ถูกพิจารณาความผิดแค่ตักเตือน ซึ่งผมมองว่ามันไม่ตรงไปตรงมา ไม่ถูกต้อง นั่นคือสิ่งที่ผมกังวลใจ จึงอยากเข้ามาปรึกษา ผมเชื่อในพลังของสื่อซึ่งมีพลังมากๆ” ธัมธ์โชโต กล่าวทิ้งท้าย

ความจริงเรื่องอื้อฉาวในวงการศึกษา อันเกี่ยวกับผลประโยชน์ มีผลวิจัยออกมารองรับอยู่เหมือนกัน และอีสานบิซ ก็เคยจัดเวทีเสวนาไปแล้ว คำถามมีอยู่ว่า ถึงเวลาผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะเร่งเข้ามาแก้ไขปัญหาหรือยัง??? หรือจะปล่อยให้เป็นเรื่องของศาลตัดสินซึ่งอยู่ที่ปลายเหตุเท่านั้น!?

………..

“ผมไม่ได้ผิด ผมไม่ได้โกง”

อาจารย์ที่ปรึกษาที่ถูกกล่าวหา ให้สัมภาษณ์อีสานบิซหลังจากรับรู้ถูกฟ้องศาลปกครองว่า ประเด็นแรกที่เขากล่าวหา เรื่องใช้เงินทุนของนักศึกษามาใช้จ่ายส่วนตัว เอามาซื้อคอมพิวเตอร์ ซื้อผ้าม่านในห้องวิจัย ต่างนานา จริงๆแล้วก่อนหน้าที่นักศึกษาคนนี้ยังไม่เข้ามา ทางภาควิชาจะมีการสร้างห้องวิจัยขึ้นมาให้อาจารย์แต่ละท่าน ตนเองก็ได้รับห้องวิจัยห้องหนึ่ง ซึ่งห้องวิจัยที่ว่านี้ ตนได้ถามนักศึกษา ป.เอกทุกคน ว่าจะเอาห้องไหน ทุกคนก็เห็นชอบให้เลือกห้องที่อยู่ทางทิศตะวันตกสุด แต่พอดีห้องวิจัยตรงนี้ ช่วงบ่ายจะมีแดดส่องมา นักศึกษาป.เอกทุกคนเลยคุยกันว่า มีความประสงค์ ที่จะทำการปรับปรุงห้องวิจัย ด้วยการซื้อผ้าม่านขึ้นมา หรือแม้กระทั่งการซื้อตู้เย็น หรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อใช้ร่วมกัน และพวกเขาก็ตกลงกันว่าจะมีเงินส่วนหนึ่งไว้ใช้จ่ายหรือปรับปรุงห้องวิจัยดังกล่าว ซึ่งเงินส่วนนี้น่าจะได้มาจากนักเรียนที่ได้รับเงินทุน ซึ่งรุ่นก่อนหน้าที่จบไปยังไม่ได้ปรับปรุงห้องวิจัยนี้

พอมาถึงรุ่นนักศึกษาคนนี้ ซึ่งตัวเขาได้รับทุน ผมเลยลองเสนอเขาไป เขาก็ยินดี ไม่มีปัญหาอะไร เขาก็จัดการทุกสิ่งอย่าง จ้างผู้รับเหมาเข้ามาดู มาทำการติดตั้งผ้าม่าน แม้แต่การสร้างที่กั้นห้องสร้างหมดไปประมาณ 4 หมื่นบาท หรือแม้แต่เรื่องการซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อมาใช้ร่วมกันในห้องวิจัย ซึ่งตนก็จะได้บอกนักศึกษารุ่นต่อๆไปว่า รุ่นพี่เขาทำเขาสร้างห้องนี้ขึ้นมา น้องๆก็จะได้เห็นตัวอย่าง และใครมีเงินทุนก็อาจจะช่วยกันปรับปรุงห้องวิจัยห้องนี้ ให้มันน่าอยู่ ตนก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องราวอะไรขึ้นมาเพราะเขาก็เต็มใจช่วย

“ในชีวิตผมไม่เคยมีปัญหากับใคร ผมทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตตรงไปตรงมาทำงานเต็มความสามารถเขาฟ้องผมเขาบอกว่าผมเป็นกระดุมเม็ดแรกที่ติดผิด”

ส่วนประเด็นเรื่องการลงทะเบียน รายวิชา Quality engineering เพื่อให้เขาสามารถที่จะทำงานกับตนได้สะดวกขึ้น เพราะเนื้อหาที่ตนสอนจะได้แทรกลงไปในงานวิจัยของเขาด้วย พอผมให้เขาลงทะเบียนรายวิชานี้ ท่าทางเขาจะไม่พอใจ ซึ่งเขาคิดว่าตนจะได้มีภาระงานการสอนเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่เป็นความจริง

และเรื่องเปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษา วันที่เขาเข้ามาหาตนที่ห้องทำงานเขาไม่ได้ยกมือไหว้ ไม่มีความนอบน้อมและก็ยื่นหนังสือเปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษาให้ตนเซ็นตนก็เซ็น

จากนั้นตนเลยแจ้งในเมล์เรื่องคืนเงินทุนของเขาว่าเหลือประมาณ2 แสนกว่าบาท ตนก็โอนให้หมด แม้แต่เงินที่เขาซื้อคอมพิวเตอร์ ซื้อผ้าม่านต่างๆ ตนโอนคืนให้หมดเลย แม้กระทั่งนักศึกษาป.เอกคนอื่นๆที่ให้เงินทุนมาใช้จ่ายตรงนี้ตนก็เอาคืน แม้บางคนไม่เอาคืนด้วยซ้ำแต่เพื่อความสบายใจของตน ก็โอนคืนให้ทุกคน แต่วันที่เขามาคุยเรื่องการเคลียร์เงิน ตนก็พูดประโยคที่ว่า “ผมประทับใจในตัวคุณ” ตนยอมรับว่าได้พูดจริงๆ เขาบอกว่าตนไปพูดดูถูก ดูแคลน ดูหมิ่น แต่ท่าทีที่เขาเข้ามาหาตนค่อน

ข้างก้าวร้าว ทั้งที่แตกต่างจากที่เข้ามาศึกษาในตอนแรกๆ อาจารย์ทุกคนรวมถึงตนด้วยชื่นชมเขาตลอด  สิ่งที่เขากล่าวหาตนทั้งหมดตนขอยืนยันว่า ไม่ใช่

ส่วนประเด็นเรื่องการคืนเงินทุนของเขา เขาแจ้งความประสงค์เองว่า ให้ตนโอนเงินคืนที่หมายเลขบัญชีคนกลางที่ดูแลเงิน ซึ่งก่อนหน้านั้น ตนก็บอกว่า การโอนเงินคืนมันต้องคืนเป็นทางการคือต้องส่งให้ทางมหาวิทยาลัย แต่ตัวนักศึกษาคนนี้ บอกว่าตนไม่รู้เรื่องอะไร ตัวเขาสิรู้ระเบียบ รู้เรื่องทุกอย่าง และต้องการให้ตนโอนเงินให้กับคนกลางเอง ตนก็จัดการตามที่เขาบอกทุกอย่าง ซึ่งระหว่างที่เกิดเรื่องนักศึกษาคนนี้ข่มขู่ตนทุกอย่าง แม้กระทั่งส่งรูปปืนมาให้ตนด้วย และส่งอีเมล์ข่มขู่คุกคาม จะเอาตนออกจากราชการ ชี้หน้าว่าตนด้วยหลายครั้ง

ตนเคยขอโทษเขาต่อหน้าเขาและอาจารย์ท่านหนึ่ง 1 ครั้ง ทางโทรศัพท์ 2 ครั้ง แต่เขาไม่พอใจ แต่ครั้งที่ 3 เขาให้ตนขอโทษเขาต่อหน้าอาจารย์ท่านหนึ่งที่ตนเคารพแล้วปรากฏว่าเขาก็ไม่พอใจอีก และมีการโต้เถียงกัน แต่ต่อมาเขาก็ได้มีการฟ้องศาลปกครองขึ้นมา แล้วเอาคำฟ้องไปให้ทางคณบดี รวมทั้งอาจารย์ที่ปรึกษาคนใหม่ของเขา และก็นัดตนให้ไปพบคณบดี

ทางคณบดีต้องการให้เขาขอโทษตน แต่จุดประสงค์ของเขาต้องการให้ตนขอโทษต่อหน้าคณบดี แต่ปรากฏว่าคณบดีไม่ต้องการ แต่อยากให้เขาขอโทษตน และเขาก็ไม่ขอโทษ แล้วเขาก็พูดจาไม่ดี และก็ออกจากห้องไป

ในชีวิตตนไม่เคยมีปัญหากับใคร ตนทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตตรงไปตรงมา ตนทำงานเต็มกำลังสุดความสามารถ

แต่เขาฟ้องตนเขาบอกว่าตนเป็นกระดุมเม็ดแรกที่ติดผิด เขาก็เลยมองว่าตนเป็นจำเลย

“ถามว่าผมซีเรียสไหม ในฐานะที่ตนไม่เคยขึ้นศาลไม่มีกรณีกับศาลคดีความอะไรต่างๆ ผมก็ซีเรียสพอสมควร แต่บางคนก็บอกว่าแก้ปัญหาได้แหละ มันไม่ได้หนักหนาอะไร เพราะผมไม่ได้ผิด ผมไม่ได้โกง”

และกรณีที่เขาบอกว่า ขอใช้เงินทุนของเขาให้กับน้องป.โท ความหมายของตนคือนักศึกษาใหม่คนนี้ไม่มีเงินทุน อยากให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตนไม่ได้หมายความว่า ให้เขาเอาเงินสดๆให้กับนักศึกษายืมไม่ใช่ ความหมายคือให้ช่วยกันในลักษณะอย่างเช่นว่า ใช้อุปกรณ์ หรือ วัสดุ ด้วยกัน หรือว่าค่าเดินทางอะไรต่างๆ ให้ช่วยเหลือซึ่งกัน

…………….

“หากเขาฟ้องผมก็คงไม่ฟ้องกลับ แต่จะทำหนังสืออธิบายให้เข้าใจ”

คณบดีที่ถูกกล่าวหา ได้อธิบาย ว่า “ผมได้ทำหน้าที่ตามขั้นตอนและบทบาทในขณะที่ผมดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีฯอย่างเต็มที่ เพื่อประคับประคองคู่กรณีทั้งสองฝ่ายให้ตกลงกันด้วยดี

เมื่อมีเรื่องถึงโรงถึงศาล ไม่เป็นผลดีต่อใคร เสื่อมเสียตัวนักศึกษา เสื่อมเสียชื่อเสียงคณะที่คนรุ่นก่อนสะสมมาหลายสิบปี ในฐานะที่เป็นครูคนหนึ่ง ไม่คิดติดใจเอาความลูกศิษย์แต่อย่างใด หากเขาฟ้องผมก็คงไม่ฟ้องกลับ แต่จะทำหนังสืออธิบายให้ทุกคนได้เข้าใจเท่านั้น”

สำหรับเรื่องเงินทุนของ “ธัมม์โชโต” ที่มีความล่าช้าเป็นเพราะระหว่างทำเรื่องเบิกเงิน นักศึกษาอยู่ระหว่างลาเรียน เจ้าหน้าที่การเงินเกรงว่าจะผิดระเบียบว่าสามารถเบิกจ่ายเงินได้หรือไม่

จึงได้ปรึกษาผู้ที่เกี่ยวข้องและทำหนังสือไปยังนิติกรของมหาวิทยาลัย ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นเหตุให้มีความล่าช้า เอกสารฉบับดังกล่าวสามารถตรวจสอบและยืนยันว่าทางคณะไม่ได้นิ่งนอนใจต่อกรณีดังกล่าว

“เมื่อได้คำตอบเป็นที่เรียบร้อย พนักงานการเงินจึงได้ดำเนินการโอนเงินให้นักศึกษาตามจำนวนที่นักศึกษาทำเรื่องเบิกขอเงินทุน ซึ่งอาจจะมีความล่าช้าในกระบวนการขั้นตอนที่มีกฎระเบียบบังคับไว้ให้ผู้ปฏิบัติงานต้องทำตามข้อกำหนด แต่ก็ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่แล้ว”

คณบดี กล่าวอีกว่า เมื่อ “ธัมม์โชโต” ถามความคืบหน้ากับตนเรื่องดำเนินการไล่ออกเจ้าหน้าที่ดูแลการเงิน ตนก็ได้แจ้งกับ “ธัมม์โชโต” ว่า การไล่พนักงานดังกล่าว ตนได้รวบรวมความเป็นมาและทำหนังสือไปยังมหาวิทยาลัย

โดยผู้มีอำนาจพิจารณาคืออธิการบดี ไม่ใช่ตน ตนขอไม่ตอบคำถามของ “ธัมม์โชโต” หากต้องการรู้ผลการพิจารณาให้นักศึกษาทำหนังสือไปติดตามกับทางมหาวิทยาลัย

“ผมไม่รู้ว่าอะไรเป็นชนวนเหตุให้เขาลงรูปปืนผาหน้าไม้ในเฟสบุ๊คส่วนตัว และมีอีกข้อความระบุว่า ผมดุนะ…ไหวเหรอ? พร้อมกับระบุชื่อเล่นผม อีกทั้งยังมีการกระทำที่คุกคามข่มขู่เจ้าหน้าที่ในสำนักงานคณบดีอีกด้วย ครั้งแรกไม่เป็นไร แต่น้องๆพนักงานกลัวกันมาก พอครั้งที่สองน้องเริ่มไม่ไหว ผมจึงแนะนำให้ไปลงบันทึกข้อความไว้ที่สถานีตำรวจเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2562 โดยส่วนตัวผมเป็นห่วงเขาว่าการกระทำดังกล่าวอาจจะทำร้ายเขาในภายหลัง”

คณบดี กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า หากหลีกเลี่ยงการเป็นคดีความไม่ได้ ตนก็ขอให้มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดำเนินการต่อไป เพราะ “ธัมม์โชโต” ฟ้องมหาวิทยาลัยด้วย ส่วนตนไม่ติดใจเอาความที่จะฟ้องกลับ เพราะตนได้ดำเนินการตามขอบเขตอำนาจที่ตนมีแล้ว

และทำหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาพร้อมกับทำหน้าที่ในการเป็นครูคนหนึ่งที่พยายามจะใช้ความเป็นมนุษย์ ที่มีความเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา นักศึกษาทุกคน ให้ทำหน้าที่ของตนบนพื้นฐานของความสุข ถูกต้อง และพัฒนาองค์กรร่วมกันทุกฝ่าย


 

แสดงความคิดเห็น