โด่งดังไปทั่วประเทศ สำหรับแนวคิดในการดำเนินการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมือง โดยไม่รองบประมาณจากรัฐ ของกลุ่มนักธุรกิจในจังหวัดขอนแก่น จดทะเบียนไปเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2558 ภาย ใต้ชื่อ “ขอนแก่นพัฒนาเมือง. (KKTT) จำกัด” โดยมีทุนจดทะเบียนเบื้องต้น 200 ล้านบาท และกรรมการจำนวน 5 คน
แกนนำคนสำคัญที่ผลักดันแนวคิดนี้ คือ“สุรเดช ทวีแสงสกุลไทย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทช.ทวี ดอลล่าเชี่ยน จำกัด (มหาชน) ทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูลทวีแสงสกุลไทย ที่ปักหลักทำธุรกิจโรงสีที่จังหวัดขอนแก่น ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นจำหน่ายอะหลั่ย และเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์บรรทุกยี่ห้อฮีโน่
หลายจังหวัดของ ในภาคอีสาน “สุรเดช”บุตรชายคนเล็กแยกออกจากครอบครัว มาร่วมทุนกับบริษัทดอลล์ จากประเทศเยอรมนี เปิดบริษัทช.ทวีดอลล่าเชี่ยนทำธุรกิจ อาทิ ผลิตรถเทเลอร์และผลิตตัวถัง รถคอนเทนเนอร์ หรือส่วนต่อรถบรรทุกและแคเทอริ่ง(รถส่งอาหารในสนามบิน)ที่มีส่วนแบ่งเป็นอันดับหนึ่งของโลก
เขาสามารถนำเอาบริษัทที่ตั้งอยู่จ.ขอนแก่น เข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ และสร้างชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่ยอมรับเมื่อบริษัทของเขาสามารถต่อเรือรบหลวงกระบี่ได้
กรรมการคนที่สอง คือ “โชคชัย คุณวาสี” ประธานกรรมการบริหารบริษัทโตโยต้าแก่นนคร ทายาทของ “เถ้าแก่ชวน คุณวาสี”ผู้บุกเบิกตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โตโยต้าในประเทศไทย มีภาพลักษณ์เป็นนักธุรกิจที่เสียสละและทำงานเพื่อสังคมโดดเด่นอย่างมาก เป็นบุคคลที่เข้าไปปรับปรุงโรงแรมร้าง เพื่อแก้ภาพลักษณ์ให้จังหวัด ก่อนที่จะดึงเอา “เซ็นทารา”มาบริหารจนโดดเด่นแม้จะขายออกไปให้กลุ่มธุรกิจอื่นแล้วก็ตามแต่ก็ยังถูกกล่าวขานถึงเช่นเดิม
กรรมการคนที่สาม “เสี่ยอิ๊ด” ชาญณรงค์ บุริสตระกูล กรรมการผู้จัดการบริษัทอีสานพิมานกรุ๊ป จำกัด ทายาท “เสี่ยบู๊” บุรินทร์ บุริสตระกูล ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจังหวัดขอนแก่น และภาคอีสาน เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีพื้นฐานสนใจ และทำกิจกรรมทางสังคมอย่างมาก ทั้งในหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรม และองค์กรอื่น เป็น“จอมโปรเจ็ค” กิจกรรมทางสังคมคนสำคัญของภาคธุรกิจ
กรรมการคนที่สี่ เสี่ยหนึ่ง”ธนะ ศิริธนะชัย กรรมการผู้จัดการบริษัทศิริการ กรุ๊ป ทายาท “เสี่ยกู้” ดำรง ศิริธนะชัย อาณาจักรธุรกิจกว้างขวางอย่างมาก ฐานเดิมทำโรงสีอยู่อ.ชุมแพ แต่เข้ามาทำธุรกิจในจังหวัดขอนแก่น ทั้งบ้านจัดสรร บริษัทไฟแนนซ์รถยนต์ อพาร์ทเม้นท์ในกรุงเทพฯ จำนวนหลายพันห้อง
ธุรกิจใหม่ก็คือ ร่วมทุนกับกลุ่มแฟรี่พลาซ่า ทำ“ตลาดต้นตาล”ที่กลายแหล่งกินแหล่งช้อปแบบมีสไตล์ของเมืองขอนแก่น พื้นฐานเป็นนักกิจกรรมจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อธุรกิจเข้มแข็งเติบโตมากขึ้น เลือดกิจกรรมเดิมจึงพลุ่งพล่านออกมาขับเคลื่อนและสนับสนุนงานเพื่อสังคมแบบเข้าใจ
กรรมการคนที่ห้า“บดินทร์ เสรีโยธิน” ทายาท เสี่ยบุรี” เสรีโยธิน กลุ่มแหอวนขอนแก่น ธุรกิจส่งออกเก่าแก่ที่มีมูลค่าปีละหลายพันล้านบาท ฐานที่มั่นอยู่ที่ขอนแก่น ขยายไปลงทุนที่ประเทศจีน พม่า น่าจะเป็นคนหนุ่มและเด็กที่สุดแต่ด้วยฐานที่เข้มแข็งทางธุรกิจและเป็นตัวแทนคนหนุ่มรุ่นเดียวกันจึงเข้ามาเป็นกรรมการบริษัทด้วยคนหนึ่ง
นอกจากกรรมการบริหาร 5 คน แล้วยังมีแกนนำคนสำคัญ ๆที่ร่วมลงขันเป็นเงินเฉลี่ยคนละ 10 ล้านเท่ากัน อีก 10 คน โดยเริ่มจากโฆษกของกลุ่ม คือ “เสี่ยนัท” กมลพงษ์ สงวนตระกูล ทายาท ชุติมา–กมล แห่งโตโยต้าขอนแก่น “เสี่ยโอเป็ค” ภารณ ธีรภาณุ ทายาท“ปราณี ธีรภาณุ”ปั้มน้ำมันเอสพี
“เสี่ยกัง” กังวาน เหล่าวิโรจนกุล ทายาท“เสี่ยยงเกียรติ” ภัตตาคารบัวหลวง “เสี่ยชัย” ชัยณรงค์ พัฒนพีระเดช ตัวแทนกลุ่มแฟรี่พลาซ่า “เภสัชกรประสิทธิ์ วงศ์นิจศิลป์” ร้านขายยาท่งจี้ตึ๊ง “เสี่ยโก้”มานะ แก่นศักดิ์ศิริ ทายาท“เฮียเฮ้าท์” ศิริ แก่นศักดิ์ศิริ แห่งไทยพิพัฒน์ค้าวัสดุก่อสร้าง “ไชยศิริ ลีศิริกุล”ทายาท“เสี่ยปกรณ์” โรงสีข้าวชัยมงคล เจ้าสัวเก่าของเมือง
“เสี่ยตี๊” ชาญวิทย์ ตั้งธนวัฒน์ นักธุรกิจอสังหาฯดาวรุ่งเจ้าของโครงการหมู่บ้านพีเอสโฮม “เสี่ยพงษ์”เอกพงษ์ อังศรีประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินบงล.ภัทร “ศิริวัฒน์ ทวีแสงสกุลไทย” ทายาท “เสี่ยพ้ง” สุรพล ทวีแสงสกุลไทย บริษัทรวมทวี จำกัด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ฮีโน่ ขอนแก่น
นอกจากนี้แล้วยังมีบุคคลที่ร่วมก่อการแต่ไม่ได้ร่วมลงเงินด้วย คือ “สมิง ยิ้มศิริ” ประธานหอการค้าจังหวัดขอนแก่นคนปัจจุบัน “สามารถ อังวราวงษ์” ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น คนปัจจุบัน “เข็มชาติ สมใจวงษ์” นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดขอนแก่น รศ.ดร.ระวี หาญเผชิญอาจารย์ประจำคณะสถาปัตย์กรรมศาสตร์ มข. “ปิยบุตร พรมหมลักขโณ” ทนายความที่ปรึกษา
ทั้งหมดคือ นักธุรกิจสายเลือดขอนแก่นที่ร่วมกันลงขันสร้างประวัติศาสตร์ให้จังหวัดขอนแก่น ประกาศทำธุรกิจเพื่อบ้านเมืองโดยไม่ต้องรัฐ ภายใต้ข้อตกลงร่วมกันว่า เงินที่ลงขันมานั้นจะต้องไม่ถามว่า จะทำกำไรได้กลับคืนมาอย่างไร จนทำให้ถูกจับตามองจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งที่ชื่นชมและห่วงใยในความตั้งใจ อันเป็นความท้าทายที่คนขอนแก่นควรภาคภูมิใจและติดตามสนับสนุนให้เติบโตต่อไป